เมืองไทย 360 องศา
จะเรียกว่าศักดิ์ศรีค้ำคอ หรือว่าถอยไม่ได้ก็ไม่รู้ แต่งานนี้ก็ต้องบอกว่ามันหยดแน่ กับการที่ต่างฝ่ายต่างยืนยันว่ามีหลักฐานพร้อมที่จะพิสูจน์ด้วยกันทั้งคู่ กับเรื่องที่มีสาเหตุมาจากโครงการ “เมย์เดย์ เมย์เดย์” ที่คณะก้าวหน้าเปิดรับบริจาคเงินสดเข้าบัญชี เพื่อช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากโรคระบาดเชื้อไวรัสโควิด-19 เมื่อวันที่ 1-2 พฤษภาคม ที่ผ่านมา
คณะก้าวหน้าประกาศว่า “ไม่ต้องพิสูจน์ความจน” แต่ความหมายที่แท้จริง ที่ใครๆ ก็มองออกแล้วว่า เป็นการ “บลั๊ฟ” ฝ่ายรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในเวลานั้นที่กำลังมีโครงการจ่ายเงินเยียวยาช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อน โดยในช่วงแรกๆ ก็มีปัญหาในเรื่องการลงทะเบียน มีการพิสูจน์สิทธิ์กันพอสมควร เนื่องจากมีคนที่ได้รับความเดือดร้อนจำนวนมาก ขณะเดียวกัน เมื่อเป็น “เงินหลวง” เงินงบประมาณ ก็ต้องมีการตรวจสอบให้ถี่ถ้วนรอบคอบ
อย่างที่บอกว่าโครงการ “เมย์เดย์ เมย์เดย์” ที่ดำเนินโดย นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ แกนนำคณะก้าวหน้าในตอนนั้น คงหมายมั่นปั้นมือว่าจะสามารถ “สร้างกระแส” เพื่อดิสเครดิตรัฐบาลได้แน่ และหลายคนที่แอบเชียร์อยู่ข้างนอกในเวลานั้น ก็คงเชื่อว่าคงจะได้เงินบริจาค ซึ่งหากจำไม่ผิดเป็นการใช้บัญชีของ น.ส.พรรณิการ์ วานิช หนึ่งในสมาชิกคณะก้าวหน้า ดังกล่าว แต่กลายเป็นว่ายอดบริจาคได้มา 7.2 ล้านบาท และบอกว่ามีการคัดเลือกโดยการสุ่มรายชื่อโอนเงินให้กับผู้ที่เดือดร้อน จำนวน 2,427 รายชื่อ รายละ 3 พันบาท มีการอ้างกันอย่างนั้น
แต่กลายเป็นว่า เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมานี่เอง มี “นายบุญเกื้อ ปุสสเทโว” ออกมาแฉว่า ไม่ได้มีการโอนเงินกันจริง และสำทับมาด้วย “นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม” อดีต ส.ส.พิษณุโลก ว่าเป็นแค่อวตาร หรือไม่มีตัวตนจริง เป็นรายการ “แหกตา” และท้าทายให้มีการเปิดเผยรายชื่อและรายการโอนเงินออกมาให้เห็น
นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ยืนยันว่า ที่ผ่านมา ได้มีการสุ่มตรวจเหมือนกันจากรายชื่อที่อ้างว่าได้รับการโอนเงินบริจาค จากการตรวจสอบเพียงแค่ 15 รายชื่อ ก็พบว่าไม่ได้มีการโอนเงินจริง พร้อมท้าทายให้คณะก้าวหน้า เอาสเตทเมนต์มายืนยัน โดยให้เวลาถึงวันที่ 8 กรกฎาคม เพื่อพิสูจน์ความจริง
“หากไม่ดำเนินการ ก็จะถูกดำเนินคดีในข้อหาฉ้อโกง ซึ่งประชาชนที่บริจาคก็สามารถเป็นเจ้าทุกข์เข้าไปแจ้งความได้” ซึ่ง ทาง นายบุญเกื้อ ปุสสเทโว ที่ออกมาแฉก่อนหน้านี้ ก็ยืนยันว่า เขามีสลิปอยู่ในมือ เนื่องจากเป็นคนหนึ่งที่ร่วมบริจาคร่วมโครงการดังกล่าวด้วย
และก็เป็นไปตามที่ประกาศกันไว้ที่เหมือนกับเป็น “ไฟต์บังคับ” ปรากฏว่า น.ส.พรรณิการ์ วานิช ก็ได้ฟ้อง นายบุญเกื้อ ปุสสเทโว ข้อหาหมิ่นประมาท โดยเรียกค่าเสียหาย 1 ล้านบาท โดยศาลกำหนดไต่สวนมูลฟ้องในวันที่ 26 ตุลาคม 2563
ขณะที่ นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ก็ประกาศก่อนหน้านี้ว่า ให้เวลาคณะก้าวหน้าพิสูจน์ความจริงโดยการแสดงหลักฐานการโอนเงินออกมาภายใน วันที่ 8 กรกฎาคม เช่นเดียวกัน ทำให้มองเห็นทันทีว่า งานนี้ต้องน่าติดตามอย่างแน่นอน แม้ว่าตามกำหนดการไต่สวนในคดี ที่ น.ส.พรรณิการ์ ฟ้อง นายบุญเกื้อ ที่ศาลได้กำหนดเอาไว้ในวันที่ 26 ตุลาคม ก็ถือว่ากว่าจะถึงวันนั้นหลายคนอาจจะลืมไปอีก แต่อย่างไรก็ดี หากมองอีกมุมหนึ่งในเมื่อเรื่องเข้าสู่การพิจารณาในศาล มันก็ได้เวลาพิสูจน์ความจริงให้เห็นเหมือนกัน ว่าใครจริงหรือใครปลอม
อีกด้านหนึ่งในมุมของทั้ง นายบุญเอื้อ ปุสสเทโว และ นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ที่ต่างก็ยืนยันว่า มีหลักฐานในมือที่พิสูจน์มาแล้วว่าไม่มีการโอนเงินกันจริง เป็นแค่อวตาร รายการ “แหกตา” กันเท่านั้น และจากการพิสูจน์กันด้วยระดับเทคโนโลยีขั้นต้นเท่านั้น ที่ นพ.วรงค์ บอกว่าแค่สุ่มตรวจไปเพียงแค่ 15 ราย ก็รู้แล้วว่าไม่มีการโอนเงินกันจริง มันถึงทำให้ชวนติดตามแบบอย่ากะพริบตาเป็นอันขาด
เพราะหากพิจารณาจากแบ็กกราวนด์สำหรับ นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ในเรื่องชื่อชั้นการหาหลักฐาน ถือว่าเข้าขั้นระดับพระกาฬคนหนึ่ง พิสูจน์ได้จากผลงานจากการเปิดโปงหลักฐานโครงการรับจำนำข้าว ในสมัยรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่สามารถกระชากหน้ากาก “ไอ้โม่ง” ที่ทุจริตสร้างความเสียหายให้กับบ้านเมืองหลายแสนล้านบาท ทำให้หลายคนต้องติดคุก บางคนต้องหนีหัวซุกหัวซุนมาจนถึงบัดนี้ สิ่งเหล่านี้จึงเป็นเครื่องการันตีได้ดี
แน่นอนว่า หากโฟกัสกันในมุมนี้ ก็ต้องบอกว่าน่าติดตามอย่างยิ่ง เพราะในเมื่อ นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม บอกว่าจะให้เวลา น.ส.พรรณิการ์ วานิช ถึงวันที่ 8 กรกฎาคมเท่านั้น ในการแสดงหลักฐานพิสูจน์ความจริง เชื่อว่า ก็คงเห็นการเดินเครื่องหลังจากนี้ เพราะเขาย้ำว่าหากเป็นไปตามที่กล่าวหา ถือว่าเป็นการกระทำที่เข้าข่ายฉ้อโกงเป็นคดีอาญา แต่เอาเป็นว่างานนี้หากเป็นมวยก็ต้องบอกว่าเป็นมวยมันที่เดิมพันสูงกันทั้งคู่ !!