เปิดคำพิพากษาแจกใบหลือง “กรุงศรีวิไล” สั่งเลือกตั้งใหม่เขต 5 สมุทรปราการ เหตุคนใกล้ชิดใส่ซองงานศพ 1 พัน ชี้อ้างไม่สนิทแต่กลับพบโทร.ติดต่อกันถึง 35 ครั้ง ซ้ำคนใส่ซองเป็นแม่ค้าหมูปิ้ง ยากจะเชื่อเป็นเงินส่วนตัว ชัดเจนเจ้าตัวได้ประโยชน์
วันนี้ (30 มิ.ย.) ที่ศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งมีคำพิพากษาสั่งให้มีการเลือกตั้ง ส.ส.เขต 5 จ.สุมทรปราการใหม่ แทนนายกรุงศรีวิไล สุทินเผือก อดีต ส.ส.พรรคพลังประชารัฐ จากเหตุพบให้คนใกล้ชิดไปมอบพวงหรีด และเงินใส่ซองช่วยงานศพ 1,000 บาทแก่ประชาชนในพื้นที่ เข้าข่ายเป็นการให้ทรัพย์สินหรือผลประโยชน์อื่นใดอันอาจคำนวณเป็นเงินได้แก่ผู้มีสิทธิเลือกตั้ง เพื่อจูงใจให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งสงคะแนนให้แก่นายกรุงศรีวิไล อันเป็นการฝ่าฝืน พ.ร.ป.เลือกตั้ง ส.ส. 2561 มาตรา 73 วรรคหนึ่ง (1) และมาตรา 80 ประกอบระเบียบ กกต.ว่าด้วยวิธีการหาเสียงและลักษณะต้องห้ามในการหาเสียงเลือกตั้ง ส.ส.อันมีผลทำให้การเลือกตั้ง มิได้เป็นไป โดยสุจริตหรือเที่ยงธรรม
คำพิพากษาศาลระบุว่า น.ส.เบญจมาศ เท้งบางด้วน ให้การต่อคณะกรรมการสืบสวนและไต่สวน กกต.กับเบิกความต่อศาลว่า เมื่อวันที่ 3 ก.พ. 62 ในงานฌาปนกิจศพนายไพบูรณ์ เท้งบางด้วน ที่วัดจระเข้ใหญ่ จ.สมุทรปราการ น.ส.สุภาภรณ์ พันโนลิต ได้ไปร่วมงานและมอบเงินช่วยงานศพเป็นธนบัตรฉบับละ1,000 บาทจำนวน 1 ใบ บรรจุภายในซองที่เขียนหน้าซองว่า “กรุงศรีวิไล” ให้แก่ น.ส.เบญจมาศ เจ้าภาพและแจ้งว่า “คุณอายังมาไม่ได้” เชื่อว่าน่าจะหมายถึงนายกรุงศรีวิไล เนื่องจากหน้าซองระบุชื่อนายกรุงศรีวิไล และ น.ส.สุภาภรณ์ขอถ่ายรูปขณะ น.ส.สุภาภรณ์มอบซองดังกล่าวให้ น.ส.เบญจมาศ เเละยืนยันภาพถ่ายผู้หญิงที่สวมชุดสูทสีดำเสื้อยืดสีขาวซึ่ง น.ส.สุภาภรณ์รับว่าคือตนเองว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับผู้หญิงที่นำเงินมาช่วยงานฌาปนกิจศพนายไพบูรณ์ และยังได้ความจากนางเฉลียว คล้ายมีปาน ภริยาของนายไพบูรณ์ให้การต่อคณะกรรมการสืบสวนและไต่สวนว่านายกรุงศรีวิไล ไม่ได้มาร่วมงาน เเต่ทราบจากบุตรสาวว่า น.ส.สุภาภรณ์ใส่เงินในซอง 1,000 บาท โดยนางเฉลียวพักที่เดียวกับ น.ส.เบญจมาศบุตรสาว ซึ่งมีบุคคลผู้มีสิทธิเลือกตั้งพักอาศัยอยู่ในบ้านรวม 8 คน เห็นว่าพยาน กกต. ผู้ร้องปาก น.ส.เบญจมาศเป็นประจักษ์พยานยืนยันว่ารับมอบซอง 1,000 บาท ทั้งยังยืนยันภาพถ่ายว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับผู้หญิงที่นำเงินมาช่วยงานฌาปนกิจศพนายไพบูรณ์ สอดคล้องกับที่นางเฉลียวยืนยัน เมื่อไม่ปรากฏว่าพยานผู้ร้องทั้งสองปากดังกล่าวเคยรู้จักหรือเคยมีสาเหตุโกรธเคืองกับ น.ส.สุภาภรณ์หรือผู้คัดค้านมาก่อน จึงเชื่อว่าเบิกความไปตามความจริง พยานหลักฐานของ กกต. ผู้ร้องมีน้ำหนักมากกว่าพยานหลักฐานของนายกรุงศรีวิไล ผู้คัดค้าน
ทั้งนี้ ตาม พ.ร.ป.เลือกตั้ง ส.ส. 2561 มาตรา 73 วรรคหนึ่ง (1) บัญญัติห้ามมิให้ผู้สมัครหรือผู้ใด จัดทำให้ เสนอให้ สัญญาว่าจะให้หรือจัดเตรียมเพื่อจะให้ทรัพย์สินหรือผลประโยชน์อื่นใดอันอาจคำนวณเป็นเงินได้แก่ผู้ใด เพื่อจูงใจให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งลงคะแนนให้แก่ตน หรือ งดเว้นการลงคะแนนให้แก่ผู้สมัคร และระเบียบ กกต.ว่าด้วยวิธีการหาเสียงและลักษณะต้องห้ามในการหาเสียงเลือกตั้ง ส.ส. 2561 ข้อ 18 บัญญัติว่า“ ห้ามผู้สมัครพรรคการเมืองหรือผู้ใดหาเสียงเลือกตั้งในลักษณะ (4) ช่วยเหลือเงินทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดอันอาจคำนวณเป็นเงินได้ให้แก่ผู้ใดตามประเพณีต่างๆดังนั้นกรณีการกระทำของน.ส.สุภาภรณ์ จึงเป็นการจูงใจเพื่อให้ทรัพย์สิน เเสวงหาความนิยมจากชุมชนเพื่อให้คะเเนนเเก่นายกรุงศรีวิไล ซึ่งเป็นผลให้การเลือกตั้งไม่เป็นไปโดยสุจริต
ส่วนนายกรุงศรีวิไล เป็นผู้ใช้หรือผู้สนับสนุนหรือรู้เห็นเป็นใจในการกระทำของ น.ส.สุภาภรณ์ด้วยหรือไม่ และศาลต้องสั่งให้มีการเลือกตั้งใหม่หรือไม่ เห็นว่า ได้ความจากนายวิทูรย์ อิศรภักดี พนักงานสืบสวนและไต่สวนชำนาญการสำนักงาน กกต.ประจำจังหวัดสมุทรปราการ ว่าจากข้อมูลการใช้โทรศัพท์ พบว่า นายกรุงศรีวิไล และ น.ส.สุภาภรณ์ได้โทรศัพท์ติดต่อกันถึง 35 ครั้ง หากทั้งสองไม่มีความสนิทสนมคุ้นเคยกันมาก่อนที่จะได้รับแต่งตั้งเป็นผู้ช่วยหาเสียงคงไม่ต้องโทรศัพท์ติดต่อกันมากถึงขนาดนี้
ส่วนที่นายกรุงศรีวิไลอ้างว่าไม่ได้รู้จัก น.ส.สุภาภรณ์เป็นการส่วนตัว พบกันครั้งแรกเดือน มี.ค.และไม่เคยให้นายประดิษฐ์ สุขถาวร ผอ.ศูนย์ประสานงานการเลือกตั้งของตนเองใช้ให้ น.ส.สุภาภรณ์ไปงานศพและนำเงินในซองช่วยงานในนามนายกรุงศรีวิไลแต่อย่างใด เห็นว่า แม้ กกต.จะนำสืบได้ว่านายกรุงศรีวิไลจะแต่งตั้ง น.ส.สุภาภรณ์เป็นผู้ช่วยหาเสียงในวันที่ 4 มี.ค. ส่วนการไปร่วมงานศพได้ความว่า นางสุธนีน้องสาวนายไพบูรณ์ แจ้ง น.ส.สุภาภรณ์ให้เชิญนายกรุงศรีวิไลไปร่วมเพื่อเป็นเกียรติแก่ผู้ตาย ซึ่ง น.ส.สุภาภรณ์ รับจะเชิญนายกรุงศรีวิไล แต่ น.ส.สุภาภรณ์มาร่วมงานฌาปนกิจศพและแจ้งว่านายกรุงศรีวิไลมาไม่ได้ อย่างไรก็ตาม การที่ น.ส.สุภาภรณ์นำเงินเขียนหน้าซองว่า“ กรุงศรีวิไล” มอบให้แก่ น.ส.เบญจมาศ ซึ่ง น.ส.สุภาภรณ์ให้การต่อคณะกรรมการสืบสวนและไต่สวนอีกว่าแจ้งกับเจ้าภาพที่รับซองว่านายกรุงศรีวิไลนำเงินมามอบช่วยเหลืองานศพและก่อนหน้านี้ตนได้นำเงินไปช่วยงานประเพณีและงานศพของบุคคลอื่นในนามของนายกรุงศรีวิไล โดยเป็นเงินส่วนตัว ส่วนใหญ่จะใส่เงินในซอง 500-1,000
ทั้งนี้ น.ส.สุภาภรณ์สถานะเป็นหม้าย ประกอบอาชีพค้าหมูปิ้ง รายได้ประมาณ 2 หมื่นบาทต่อเดือน มีบุตร 2 คนศึกษาระดับประถมศึกษา ที่ต้องอุปการะเลี้ยงดู แม้จะเบิกความว่าคนรักมีอาชีพรับเหมาก่อสร้างงานจากหน่วยงานราชการก็เป็นเพียงการเบิกความกล่าวอ้างลอยๆ เท่านั้น ไม่มีพยานหลักฐานใดมาสนับสนุน และเมื่อพิจารณาจากสถานะทางการเงินประกอบกับภาระที่ต้องอุปการะเลี้ยงดูบุตร 2 คน และสภาพบ้านพักอาศัยของ น.ส.สุภาภรณ์ทั้ง 2 แห่งแล้ว เป็นการยากที่จะเชื่อว่าจะนำเงินส่วนตัวมาใส่ของช่วยเหลืองานประเพณีและงานศพของบุคคลอื่นหลายๆ ครั้งในนามของนายกรุงศรีวิไล ข้ออ้างของ น.ส.สุภาภรณ์จึงมีพิรุธ ไม่น่าเชื่อถือ เมื่อการกระทำดังกล่าวทำให้นายกรุงศรีวิไล ผู้คัดค้านได้รับประโยชน์ และต่อมานายกรุงศรีวิไลได้แต่งตั้ง น.ส.สุภาภรณ์ให้เป็นผู้ช่วยหาเสียง แม้ไม่แน่ชัดว่านายกรุงศรีวิไลรู้เห็นเป็นใจเนื่องจากไม่ปรากฏหลักฐานการใช้โทรศัพท์ติดต่อกันระหว่างนายกรุงศรีวิไล และ น.ส.สุภาภรณ์ ช่วงก่อนเกิดเหตุ และก็ไม่มีพยานหลักฐานใดบ่งชี้ให้เห็นว่ามีการกลั่นแกล้งนายกรุงศรีวิไลให้ต้องรับผิดในกรณีตามคำร้องเมื่อศาลได้วินิจฉัยข้างต้นแล้วในการเลือกตั้ง ส.ส.เขต 5 มีกระทำการอันเป็นการฝ่าฝืน พ.ร.ป.เลือกตั้ง ส.ส. 2561 มาตรา 73 วรรคหนึ่ง เเละระเบียบ กกต.ว่าด้วยวิธีการหาเสียงและลักษณะต้องห้ามในการหาเสียงเลือกตั้ง ส.ส. พ.ศ. 2561 ข้อ 18 (4) ซึ่งทำให้การเลือกตั้งมิได้เป็นไปโดยสุจริตหรือเที่ยงธรรมแม้ทางการไต่สวนไม่ได้ความชัดว่าเป็นการกระทำของนายกรุงศรีวิไล ตามคำร้องของ กกต. ศาลก็ต้องสั่งให้มีการเลือกตั้ง ส.ส.จังหวัดสมุทรปราการเขตเลือกตั้งที่ 5 ใหม่ทั้งนี้ตามที่บัญญัติไว้ใน พ.ร.ป.เลือกตั้ง ส.ส.มาตรา 133 พิพากษาให้มีการเลือกตั้ง ส.ส.สมุทรปราการเขต 5 ใหม่ แทนนายกรุงศรีวิไล สุทินเผือก