“หมอระวี” ยันไม่เคยหนุน “เต้” นั่งเก้าอี้ รมต. และไม่เคยได้ยินนายกฯ จะมอบตำแหน่งให้คนรวม ส.ส.ได้ 8-10 เสียง เผยความขัดแย้งใน พปชร.กระทบรัฐบาลแน่ แต่เป็นเรื่องปกติของพรรคการเมือง ขึ้นอยู่กับ “บิ๊กตู่” จะแก้อย่างไร ถ้าปรับ ครม.โดยเลือกคนมาดี เพื่อประเทศเดินหน้า ประชาชนรวมทั้ง “พลังธรรมใหม่” พร้อมหนุน แต่ถ้าหวังแก้แค่ปัญหาภายในพรรค เอาเสือสิงห์กระทิงแรดมา ก็ไปไม่รอด
วันนี้ (20 มิ.ย.) นพ.ระวี มาศฉมาดล ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคพลังธรรมใหม่ กล่าวถึงกรณีที่ นายมงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคไทยศรีวิไลย์ ออกมาประกาศว่า มีเสียงสนับสนุนให้เขาเป็นรัฐมนตรี จำนวน 9 เสียง ซึ่งตนได้โทรศัพท์ไปสอบถามกับพรรคต่างๆ อย่างน้อย 4 พรรค จากในกลุ่ม 11 พรรค คือ พรรคพลเมืองไทย พรรคประชาธิปไตยใหม่ พรรคประชาภิวัฒน์ และ พรรคพลังธรรมใหม่ ไม่ได้เกี่ยวข้องอยู่ใน 9 พรรค ที่นายมงคลกิตติ์ได้ประกาศไว้ และไม่ทราบว่า 9 พรรคดังกล่าวเป็นพรรคอะไรบ้าง
ส่วนเรื่องของโควตาตำแหน่งรัฐมนตรีนั้น นพ.ระวี บอกว่า ในส่วนของพรรคพลังธรรมใหม่ ไม่มีความคิดที่จะไปต่อรองตำแหน่งรัฐมนตรี เพราะรู้ตัวดีว่ามีเพียงหนึ่งเสียง ดังนั้น สิ่งที่จะทำ คือ ทำผลงานให้เกิดประโยชน์ต่อประเทศชาติ และประชาชนให้ดีที่สุด ซึ่งไม่มีความคิดที่จะไปต่อรองตำแหน่งรัฐมนตรีให้กับตัวตนเอง หรือให้กับพรรคพลังธรรมใหม่ แต่หากสมมติว่า นายกรัฐมนตรีมีการเปิดไฟเขียวว่าการปรับคณะรัฐมนตรีในครั้งนี้จะเป็นการปรับครั้งใหญ่ โดยใครที่สามารถรวบรวมเสียงของ ส.ส.ได้ 8-10 เสียง ก็อาจจะมีการพิจารณาตำแหน่งรัฐมนตรีให้ แต่ที่ผ่านมา ยังไม่มีไฟเขียวว่านายกรัฐมนตรีจะให้เป็นไปในรูปแบบดังกล่าว ซึ่งหากมีการเปิดไฟเขียวแบบนี้จริงๆ ในส่วนของพรรคพลังธรรมใหม่ หากจะต้องเลือกสนับสนุนบุคคลใด จะต้องเลือกสนับสนุนบุคคลที่คิดว่ามีความเหมาะสม และประชาชนยอมรับได้
นพ.ระวี ยังกล่าวถึงกรณีปัญหาความขัดแย้งภายในพรรคแกนนำรัฐบาล คือ พรรคพลังประชารัฐ ว่า เรื่องนี้ย่อมมีผลกระทบต่อเสถียรภาพของรัฐบาลอย่างแน่นอน 100% ไม่มีใครปฏิเสธได้ แต่ว่าจะมากหรือน้อยเป็นอีกเรื่องหนึ่ง แล้วก็เป็นกฎเกณฑ์ปกติของทุกพรรคที่เมื่อเวลาผ่านไปก็จะเจอว่าคนนี้ตัวจริงคนนี้ตัวไม่จริง ก็ต้องมีการปรับไป ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติที่จะต้องมีการปรับ
“ส่วนผลกระทบในแง่ลบนั้น เราจะเห็นว่าบทเรียนของพรรคพลังธรรมในอดีตเมื่อ 20 กว่าปีที่แล้ว ดูจากการที่พรรคพลังธรรม มีการปรับ ครม.ใหม่ทั้งหมดครั้งนั้นส่งผลให้พรรคพลังธรรมแตก และภายหลังจากนั้นในระยะเวลา 1-2 ปี พรรคพลังธรรมก็ทรุดและแตกแยกกระเซ็นกระสายไปคนละทิศ นี่ถือเป็นบทเรียนที่ยิ่งใหญ่สำหรับพรรคพลังธรรมในอดีต และต่อมาพรรครัฐบาลในอดีตหลายๆ พรรค ที่ได้มีการปรับ ครม.หลายๆ ครั้ง ในที่สุดก็กระเทือนจนเกิดปัญหา เพราะว่าการปรับนั้นไม่ใช่แค่พรรคพลังประชารัฐเพียงอย่างเดียว แต่สุดท้ายมันจะต้องมีคำถามไปที่พรรคภูมิใจไทย และพรรคประชาธิปัตย์ ว่า มีเสียงต่างกันอยู่ 8 เสียง ควรจะได้ตำแหน่งรัฐมนตรีเท่ากันเหมือนเดิมหรือไม่ รวมไปจนถึงพรรคชาติพัฒนาที่มีเสียงเพียงแค่ 4 เสียง ยังจะสามารถได้โควตารัฐมนตรีอยู่หรือไม่ หรือแม้กระทั่งพรรครวมพลังประชาชาติไทยที่มีเสียงเพียงแค่ 5 เสียง ยังจะคงได้ตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ซึ่งถือว่าเป็นกระทรวงใหญ่อยู่อีกต่อไปหรือไม่ มันก็จะมีปัญหา แต่ว่าการปรับครั้งนี้ปัญหาอาจจะไม่มากก็ได้ อาจจะมีการแตกแยกเล็กๆ แต่ทุกคนก็อาจจะต้องยอมรับเมื่อมีการปรับออกมา แต่ถามว่ามีผลกระเทือนหรือไม่ หากใครบอกว่าไม่มีผลกระเทือนนั้นถือว่าโกหก เพราะมีแน่นอน แต่จะมีมากหรือน้อยไม่มีใครจะรู้ เพราะจะอยู่ที่ว่าการปรับออกมาอยู่ในรูปแบบใด แต่สำหรับประชาชน และพรรคพลังธรรมใหม่นั้น อยู่ที่ตัวบุคคลที่ท่านนายกรัฐมนตรีเลือกมา ถ้าหากนายกรัฐมนตรีเลือกมาดี เช่น ทีมเศรษฐกิจดูเข้าท่า เป็นไปได้ แบบนี้ประชาชนก็จะได้ประโยชน์ และพรรคพลังธรรมใหม่ก็จะไม่มีปัญหา แต่ถ้าหากเลือกมาแล้วไปไม่รอด เจอเสือสิงห์กระทิงแรด อย่างนี้ก็จะมีผลต่อเสถียรภาพของรัฐบาล
“ผมคิดว่า ท่านนายกรัฐมนตรีคงพอจะทราบอยู่ และคิดว่าท่านก็คงจะมีจุดยืนของท่าน ว่าท่านจะเลือกให้รัฐบาลเดินหน้าต่อไปได้อีกระยะหนึ่ง หรือว่าจะเป็นเพียงการแก้ปัญหาภายในเป็นหลัก โดยไม่ได้คำนึงถึงผลในระยะยาว ซึ่งผมคิดว่าท่านนายกรัฐมนตรีจะเลือกเอาผลระยะยาวต่อประเทศชาติ” รพ.ระวี กล่าว