“อดีตข่าวกรอง” ย้อนรำลึก 15 มิ.ย. 2310 “วันพระเจ้าตาก" ตีเมืองจันทบุรี ขับไล่พม่า และรวมไทยเป็นปึกแผ่น สำทับ “อย่าให้ใครยุยงแตกแยก” สอดคล้อง “ลุงตู่-ลุงป้อม” ฮึ่ม..ฮึ่ม รู้นะ “ขบวนล้มเจ้า” ไม่ใช้ ม.112 ยิ่งลามปาม
น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง วันนี้ (15 มิ.ย. 63) เฟซบุ๊ก Nantiwat Samart ของ นายนันทิวัฒน์ สามารถ อดีตรองผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ โพสต์หัวข้อ “อย่าทำหินแตก อย่าแยกแผ่นดิน”
โดยระบุว่า “วันนี้ในอดีต 15 มิถุนายน 2310 สมเด็จพระเจ้าตากสิน ได้นำกำลังเข้าตีเมืองจันทบุรี และใช้จันทบุรีเป็นฐานที่มั่นในการรวบรวมกำลัง เข้าขับไล่พม่าและรวบรวมปราบปรามก๊กต่างๆ เพื่อรวมไทยให้กลับมาเป็นปึกแผ่นอีกครั้งหนึ่ง
วันนี้คนไทยในชาติน่าจะต้องรำลึกถึงคุณความดีของสมเด็จพระเจ้าตากสิน และบรรพบุรุษไทยที่กล้าเสียสละ พลีชีพเพื่อสร้างชาติไทย คนไทยต้องเอาแบบอย่างบรรพบุรุษ
อย่าให้มันผู้ใดที่บังอาจยุแยงให้ไทยต้องแตกความสามัคคี แบ่งแยกแผ่นดินไทย”
ก่อนหน้านี้ไม่กี่ชั่วโมง เฟซบุ๊ก Nantiwat Samart แชร์โพสต์ของ Poonpawat Chookaew
ที่ระบุว่า “#วันนี้ในอดีตเมื่อ 253 ปีที่แล้ว พระเจ้าตากสินมหาราชตีเมืองจันทบุรีได้ เมื่อวันอาทิตย์ เดือน 7 แรม 3 ค่ำ จุลศักราช 1129 ปีกุน นพศก เพลา 3 ยามเศษ ตรงกับวันที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2310 เวลาประมาณ 03.00 น. หลังจากเสียกรุงศรีอยุธยาแล้ว 2 เดือน”
วันนี้เช่นกัน เป็นวันที่ “ลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม และ “ลุงป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ต้องออกมาพูดถึงขบวน “ล้มเจ้า” เนื่องจากถูกเครือข่ายดังกล่าวทั้งในและต่างประเทศรุกอย่างหนัก
ที่องค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึก ในพระบรมราชูปถัมภ์ (อผศ.) พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า สิ่งที่กังวลที่สุดในขณะนี้ คือ การละเมิดและก้าวล่วงสถาบัน ขอร้องคนไทยอย่าไปเชื่อคำบิดเบือนที่สร้างความเกลียดชัง ยึดโยงเรื่องต่างๆ เพราะไม่มีความเป็นไปได้อยู่แล้ว ในส่วนที่มันเกิดขึ้นต้องดูว่าเขาต้องการอะไร แล้วจะไปสนใจหรือเผยแพร่ทำไม ก็รู้อยู่ว่าที่ออกมาเคลื่อนไหวหนักในช่วงนี้ เพราะอะไร ใกล้วันอะไรซักอย่างหรือไม่
“อะไรที่เกิดขึ้นในต่างประเทศก็คือต่างประเทศ ใครจะกล้าเข้าไปทำอะไรแบบนั้นได้ ส่วนในประเทศไทยที่ยังเคลื่อนไหวกันก็ยังไม่มีใครทำอะไรซักคน ซึ่งกฎหมายมีอยู่หลายตัว เราก็เข้าใจว่าต้องทำให้ทุกคนมีความสบายใจ โดยเฉพาะเด็กนิสิตนักศึกษาผมไม่อยากให้เสียอนาคต ไม่ได้ขู่เขานะ ซึ่งกฎหมายก็มีทุกตัวอยู่แล้ว ทุกคนต้องสำนึกเรื่องการบิดเบือนสถาบัน
เดิมเรามีกฎหมายอาญามาตรา 112 อยู่ และไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องนี้ อยากบอกคนไทยว่า วันนี้มาตรา 112 ไม่ได้ใช้เลย เพราะพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระเมตตาไม่ให้ใช้ นี่คือสิ่งที่ท่านทรงทำให้แล้ว และคุณก็ละเมิดกันเรื่อยเปื่อยอย่างนี้ หมายความว่าอย่างไร คุณต้องการอะไรกัน วันนี้จำเป็นต้องปรับต้องพูดเพื่อให้บ้านเมืองสงบ”
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า กลุ่มที่เคลื่อนไหวในประเทศเพื่อนบ้านและยุโรปจะทำอย่างไรได้บ้าง พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ก็ทำหนังสือไปหาเขา ถ้ามีอะไรเขาส่งหนังสือตอบกลับมา แต่ถ้าไม่ส่งกลับมาจะให้อย่างไรได้ แล้วก็ไปกล่าวอ้างกันว่าส่งคนไปทำโน่นทำนี่ อยากถามว่าจะทำได้อย่างไรในต่างประเทศ กฎหมายประเทศนั้นก็มีอยู่ ใครจะกล้าเข้าไปทำ
คนที่เข้าไปอยู่ที่นั่น เพราะเขาทำความผิดในประเทศไทยซึ่งเป็นความผิดเล็กๆ น้อยๆ ก็ไม่รู้ไปทำไม เพราะคดีเล็กน้อยเท่านั้น คสช.เรียกตัวมาก็ไม่มาแต่กลับหนีไป แล้วไปด่าคนนั้นคนนี้อยู่ข้างนอก และไปทำธุรกิจอะไรก็ไม่รู้ โดยทางกัมพูชาก็พร้อมถ้ามีใครไปแจ้งความร้องทุกข์ เขาก็จะสอบสวนให้
ตอนนี้ก็ได้แจ้งมาแล้วว่า กระทรวงต่างประเทศคุยกันอยู่ ตอนนี้ก็ขอความร่วมมือไปทุกประเทศที่มีกลุ่มเหล่านี้เคลื่อนไหวอยู่ บางคนมีสถานะขอลี้ภัย คนเหล่านี้ควรสำนึกว่า อยู่ประเทศเขาแล้วไม่ควรทำอะไร วันข้างหน้าจะปัญหาอีกถ้าประเทศนั้นไม่ให้อยู่ก็ไม่รู้จะไปอยู่ที่ไหนอีก ก็สงสารนะในฐานะคนไทย ตนไม่ใช่คนใจร้ายจะฆ่าแกงได้อย่างไร
“สำนึกไว้ด้วยว่า มาตรา 112 ทำไมถึงไม่มีการดำเนินคดี และทำไมถึงมีคนฉวยโอกาสตรงนี้ขึ้นมา ทรงมีพระเมตตา พระมหากรุณาธิคุณ กำชับมากับผมโดยตรง 2-3 ปีที่ผ่านมา ไม่มีการใช้ 112 ทำไมไม่คิดตรงนี้ลามปามกันไปเรื่อย...”
ขณะเดียวกัน ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประวิตร กล่าวถึงกรณีที่ พล.อ.ประยุทธ์ นายกรัฐมนตรี ออกมาระบุว่าขณะนี้มีขบวนการล้มเจ้าเกิดขึ้นว่ากำลังตรวจสอบอยู่ ถ้าอันไหนที่ได้แล้วก็จะแจ้งความดำเนินคดี
ผู้สื่อข่าวถามว่า นายกรัฐมนตรีออกมาระบุว่าไม่ให้ใช้ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 พล.อ.ประวิตรกล่าวว่า “เรื่องนี้เราไม่ใช้อยู่แล้ว” เมื่อถามว่า ฝ่ายความมั่นคงมีการข่าวอะไรมาเพิ่มเติมหรือไม่ พล.อ.ประวิตรกล่าวว่า “ก็กำลังดูรายชื่อที่มีอยู่”
อย่างไรก็ตาม เมื่อวันที่ 10 มิ.ย. 63 เฟซบุ๊ก Nantiwat Samart ของ นายนันทิวัฒน์ สามารถ อดีตรองผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ โพสต์หัวข้อ “มีการบิดเบือนกรณีอุ้มวันเฉลิม”
ระบุตอนหนึ่งว่า “...แต่ที่ทนไม่ได้ และคิดว่ามีคนไทยอีกจำนวนมากไม่ทนเหมือนกัน คือ การที่ขบวนการต่อต้านสถาบันฯ ใส่ร้ายสถาบันฯ ว่าอยู่เบื้องหลังอุ้มฆ่าวันเฉลิม ด้วยวิธีการเก่าๆ ป้อนข้อมูลบิดเบือนให้สื่อ องค์กรในต่างประเทศ แพร่กระจายข้อมูลบิดเบือนใส่ร้ายสถาบันฯ องค์การในต่างประเทศ Pixel Helper เปิดประเด็นเรื่องนี้ และกล่าวหาสถาบันฯ
ขอเรียกร้องให้รัฐบาลตอบโต้การใส่ร้ายบิดเบือน เอาคนที่เกี่ยวข้องมาลงโทษ”
ขณะเดียวกัน ก็สอดรับกับเฟซบุ๊ก The METTAD โพสต์ข้อความระบุว่า
“เรื่องที่น่าสมเพชที่สุด คือ การโยงว่าในหลวงโกรธที่มีคนไปส่องเลเซอร์ เลยมาลงที่ ต้าร์ วันเฉลิม
เพราะมันฝืนตรรกะเชื่อมโยงเกินไป ต้าร์เป็นผู้หนีคดี พ.ร.บ.คอมพ์ ไม่ได้โดน 112 และเป็นตัวไม่สำคัญ ที่ค่อยๆ เฟดตัวเองไปทำธุรกิจการเกษตรแล้ว 😎
ในกลุ่ม รยล ของปวิน มีความพยายามปลุกปั่น โดยมีเจตนาเพื่อให้ในหลวงไม่พอใจอยู่ตลอดเวลา และพยายามเล่นแรงขึ้นเพื่อยั่วให้ดำเนินคดีกับยุวชนสุรชัย โดยหวังจะให้เป็นประเด็นในการจัดม็อบ
ถ้า ปวิน แอนดรูว์ สมเทียม และ จรรยา พยายามชี้นำว่าต้าร์ถูกอุ้ม เพราะกลุ่มขอทานต่างแดนไปส่องเลเซอร์ เท่ากับมึงจะบอกว่าผู้หนีคดีในประเทศอาเซียนที่หายตัวไป เป็นเพราะพวกมึงไปยั่วยุใช่หรือไม่
ต้าร์ วันเฉลิม ไม่ใช่ตัวหลักในการเคลื่อนไหวมาพักใหญ่แล้ว
มันจะได้ประโยชน์อะไร ที่ไปจัดการคนที่เฟดตัวออกจากเกม
หามือมืดเอาสเปรย์กลิ่นตดไปฉีดใส่สุรชัย ยังจะสนุกกว่าเยอะ”
แน่นอน, นี่คือ ประมวลภาพที่รัฐบาล “ลุงตู่-ลุงป้อม” ถูก “มรสุมล้มเจ้า” ถล่มอย่างหนัก โดยเฉพาะเมื่อมีกรณี “อุ้ม” ต้าร์ วันเฉลิม ในเขมรเกิดขึ้น ซึ่งกระแสเคลื่อนไหวที่ถาโถมเข้าใส่รัฐบาล คือ ข้อสงสัยที่ว่า เรื่องนี้จะเป็นฝีมือของรัฐบาล หรือ ของคนที่รัฐบาลช่วยปกปิดอยู่หรือไม่นั่นเอง
ดังนั้น การที่ “ลุงตู่-ลุงป้อม” ออกมาฮึ่มๆ พร้อมกันเช่นนี้ ย่อมสะท้อนให้เห็นว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ และจะนิ่งนอนใจในกระแสที่นับวันปลุกเร้าอย่างรุนแรงไม่ได้อีกแล้ว
และดูเหมือนสิ่งที่ “อดีตบิ๊กข่าวกรอง” ออกมาส่งสัญญาณเตือน “อย่าให้มันผู้ใดที่บังอาจยุแยงให้ไทยต้องแตกความสามัคคี แบ่งแยกแผ่นดินไทย” ก็คือ “การตัดไฟเสียแต่ต้นลม” นั่นเอง