ผอ.สนผ.ยอมรับเอกสารขอข้อมูลโทรศัพท์เคลื่อนที่ของจริง ใช้เพื่อติดตามผู้ติดโควิด-19 ย้ำเป็นความหวังดี ทำได้เพื่อสอบสวนโรค ชี้อยู่ระหว่างทดสอบ ไม่ได้นำข้อมูล ปชช.ไปทำอะไร
วันนี้ (8 มิ.ย.) พล.อ.รักศักดิ์ โรจน์พิมพ์พันธุ์ ผู้อำนวยการสำนักนโยบายและแผน (สนผ.) กระทรวงกลาโหม กล่าวถึงกรณี น.ส.สฤนี อาชวานันทกุล นักวิชาการอิสระด้านเศรษฐศาสตร์ เผยแพร่เอกสารของสำนักนโยบายและแผนกลาโหม โดยมีเนื้อหาระบุการขอข้อมูลโทรศัพท์เคลื่อนที่ในการสนับสนุนการควบคุมโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ว่า ยอมรับว่าเอกสารดังกล่าวเป็นเอกสารฉบับจริง เพื่อเป็นประโยชน์ต่อการสอบสวนโรค เนื่องจากเราได้มีการพูดคุยในที่ประชุมวงเล็ก โดยเรียกฝ่ายทางเทคนิคของกระทรวงกลาโหมมาสอบถามว่าสามารถเป็นไปได้หรือไม่ที่จะขอติดตามสัญญาณโทรศัพท์ของผู้ติดเชื้อโควิด-19 และผู้ใกล้ชิดทั้งหมด
โดยที่ประชุมได้ยกตัวอย่างกรณีสนามมวยที่มีคนเข้าร่วมชมมวย 2,800 คน แต่จากการสอบถามกรมควบคุมโรคกระทรวงสาธารณสุข สามารถติดตามมาได้เพียง 800 คน ส่วนที่เหลือไม่ยอมมาตรวจและไม่สามารถติดตามตัวได้ ทั้งนี้ หากเรารู้ข้อมูลสัญญาณโทรศัพท์ทั้ง 2,800 คนที่อยู่ในสนามมวย เราก็จะสามารถส่งข้อความไปแจ้งเตือนได้ทันที จนเป็นที่มาของการเชิญผู้ประกอบการค่ายมือถือทั้ง 5 ค่าย โดยมีสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ ( กสทช.) และกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เข้ามาควบคุมอีกชั้นหนึ่ง โดยการทำโปรแกรมกรม ดังกล่าวควบคุมโรคของกระทรวงสาธารณสุขจะเป็นผู้ดำเนินการ
“ในส่วนของกระทรวงกลาโหมถือว่าเป็นความหวังดีที่บูรณาการจัดการประชุมร่วมกันเพื่อหารือถึงความเป็นไปได้ จนได้ข้อสรุปว่าสามารถทำได้ จึงดำเนินการทำหนังสือแจ้งไป เพื่อเป็นประโยชน์ต่อการสอบสวนโรค” พล.อ.รักศักดิ์กล่าว
เมื่อถามว่ามีหลายฝ่ายมองว่าเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน พล.อ.รักศักดิ์กล่าวว่า กระทรวงกลาโหมไม่ได้นำข้อมูลของประชาชนไปทำอะไร เป็นเพียงการระดมความคิดเห็นเพื่อหาแนวทางการป้องกันการระบาดของโรค และที่สำคัญโปรแกรมดังกล่าวยังไม่ได้บังคับใช้เพราะเพิ่งทำเสร็จเมื่อ 15 วันที่ผ่านมา ขณะนี้อยู่ระหว่างการทดสอบของรายแรกอยู่เพื่อเตรียมความพร้อมหากมีการระบาดของโรคในรอบสอง
เมื่อถามว่า ต้องขอข้อมูลสัญญาณโทรศัพท์คนทั้งประเทศใช่หรือไม่ เพราะทุกคนมีความเสี่ยงทั้งหมด พล.อ.รักศักดิ์กล่าวว่า สมมติมีผู้ติดเชื้อเดินทางโดยมอเตอร์ไซค์รับจ้างไปขึ้นรถสองแถว โดยบุคคลเหล่านั้นไม่รู้จักผู้ติดเชื้อ โปรแกรมดังกล่าวจะส่งข้อความไปบอกว่าบุคคลเหล่านั้นอยู่ในข่ายติดเชื้อโควิด-19 ต้องเข้าสู่กระบวนการเฝ้าระวัง