กกต.ถกปมยึดเงินกู้ อนค.191 ล้าน เข้ากองทุนพัฒนาพรรคการเมือง มึนยังไม่ชัดยึดหมดหรือส่วนเกิน แถมโทษปรับ กม.เขียนอายุความ 1 ปี ซ้ำพรรคถูกยุบไปแล้วจะเรียกเงินผิด กม.จากใคร สั่ง สนง.ชงเข้าคณะที่ปรึกษา กม.พิจารณาหาข้อยุติ
วันนี้ (12 พ.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่าที่ประชุม กกต.ได้มีการพิจารณากรณีสำนักงานเสนอแนวทางการดำเนินการ หลังศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยยุบพรรคอนาคตใหม่จากเหตุกู้เงินนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ อดีตหัวหน้าพรรค จำนวน 191 ล้านบาท โดย กกต.ต้องดำเนินการตามมาตรา 125 พ.ร.ป.พรรคการเมือที่กำหนดว่า พรรคการเมืองใดรับบริจาคเงิน ทรัพย์สิน หรือประโยขน์อื่นใดจากบุคคล หรือนิติบุคคลใดมีมูลค่าเกินว่า 10 ล้านบาทต่อปี ตามที่กำหนดไว้ในมาตรา 66 วรรคสอง ต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 1 ล้านบาท และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งหัวหน้าพรรค กรรมการบริหารพรรคมีกำหนด 5 ปี และให้เงิน ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใด ส่วนที่เกินมูลค่าที่กำหนดตกเป็นของกองทุนเพื่อการพัฒนาพรรคการเมือง และมาตรา 126 ที่กำหนดว่าผู้ดำรงตำแหน่งที่ในพรรคการเมืองหากฝ่าฝืนมาตรา 72 รับบริจาคเงิน ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดจากบุคคล นิติบุคคล ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 6 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งของผู้นั้น
ทั้งนี้ ทางสำนักงานฯ ได้เสนอประเด็นข้อกฎหมายและข้อเท็จจริงให้ที่ประชุมได้พิจารณาหลายประเด็น ทั้งในเรื่องของจำนวนเงินที่จะต้องตกเป็นของกองทุนเพื่อการพัฒนาพรรคการเมืองว่าควรจะเงินกู้ทั้ง 191 ล้านบาท เพราะเป็นเงินที่รับบริจาคโดยวิธีการที่ไม่ชอบ หรือเฉพาะเงินส่วนที่เกิน 10 ล้านบาทที่ถือว่าเป็นการรับบริจาคเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด รวมทั้งพรรคอนาคตใหม่มีการชำระคืนเงินกู้บางส่วนให้แก่นายธนาธรไปแล้วจะต้องดำเนินการอย่างไร โทษปรับกฎหมายเขียนอายุความ 1 ปี ซึ่งก็ต้องมีการพิจารณาว่าจะนับจากวันที่มีการกู้เงินหรือเมื่อศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย หากนับจากวันที่มีการกู้ก็จะถือว่าเกินแล้วเพราะพรรคกู้เงินก้อนแรก 161.2 ล้าน จากนายธนาธรในวันที่ 2 ม.ค. 62
ที่สำคัญขณะนี้ไม่มีพรรคอนาคตใหม่แล้วเนื่องจากถูกยุบพรรค ฉะนั้นจะดำเนินการเอาเงินนั้นมาเป็นของกองทุนอย่างไร จะสามารถเอาจากทรัพย์สินที่เหลือจากการชำระบัญชีได้หรือไม่ และหากไม่เพียงพอจะต้องดำเนินการอย่างไร และการดำเนินการจะต้องใช้การฟ้องคดีหรือไม่ ซึ่งที่ประชุม กกต.เห็นว่ามีปัญหาข้อกฎหมายซับซ้อนหลายประเด็น ดังนั้น เพื่อความรอบคอบในการดำเนินการจึงให้สำนักงานฯ นำเรื่องดังกล่าวเข้าหารือคณะที่ปรึกษากฎหมายของสำนักงาน กกต.ก่อนจึงค่อยเสนอ กกต.พิจารณาใหม่อีกครั้ง