จากกรณีรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้แก้ไข พ.ร.บ.ป่าไม้ พ.ศ. 2484 โดยการแก้ไขมาตรา 7 ที่กำหนดเกี่ยวกับไม้หวงห้ามที่ขึ้นในที่ดินที่มีกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองตามประมวลกฎหมายที่ดิน หรือไม้ที่ปลูกขึ้นในที่ดินที่ได้รับอนุญาตให้ทำประโยชน์ตามประเภทหนังสือแสดงสิทธิที่รัฐมนตรีประกาศกำหนดโดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี ให้ถือว่าไม่เป็นไม้หวงห้าม สามารถปลูกและตัดขายได้ในอนาคตอย่างถูกกฎหมาย โดยปลดล็อกไม้หวงห้าม จำนวน 158 ชนิด เช่น ไม้สัก ไม้ยาง ไม้พะยูง และไม้หายาก จานวน 13 ชนิด เช่น กระเบา มะแข่น จันทน์หอม ตีนเป็ดแดง
วันนี้ (8 พ.ค.) นายอรรถพล เจริญชันษา อธิบดีกรมป่าไม้ กล่าวว่า หลังจากที่รัฐบาลปลดล็อกแก้ไขกฎหมาย จากไม้หวงห้ามเป็นไม้มีค่า ปัจจุบันประชาชนปลูกไม้มีค่าและลงทะเบียนต่อกรมป่าไม้ไปแล้ว 70,874 ราย เนื้อที่รวม 1,116,200 ไร่ คิดเป็นต้นไม้มีค่าประมาณ 223,240,000 ต้น ซึ่งนายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เตรียมเสนอ ครม.ขอความเห็นชอบ ในการออกเป็นประกาศกระทรวงฯ ปลดล็อก พื้นที่ ส.ป.ก.ซึ่งเป็นประเภทที่ดินที่ได้รับอนุญาตให้ทำประโยชน์ เพื่อเปิดโอกาสให้ประชาชนสามารถปลูกไม้มีค่าได้ ในที่ดิน ส.ป.ก.เพื่อสร้างโอกาสในการประกอบอาชีพ และสร้างรายได้ให้ครัวเรือน นอกจากนี้ ไม้ที่ปลูกสามารถใช้เป็นหลักทรัพย์ค้ำประกัน เป็นการปลูกป่าสร้างรายได้และเป็นมรดกให้แก่ครอบครัวในอนาคตได้อีกด้วยซึ่งจะทำให้ประชาชนมีรายได้ อีกทั้งยังช่วยแก้ปัญหาการบุกรุกและลักลอบตัดไม้ และเป็นการช่วยเพิ่มพื้นที่สีเขียวและสร้างความชุ่มชื้นให้แก่ประเทศอีกทางหนึ่ง คาดว่าจะมีคนสนใจปลูกไม้มีค่าเพิ่มขึ้นไม่ต่ำกว่า 10 ล้านไร่ในอนาคต อีกไม่นานประเทศไทยจะมีเศรษฐกิจมูลค่ามหาศาลจากไม้มีค่า
ด้านนางนันทนา บุณยานันต์ โฆษกกรมป่าไม้ กล่าวต่อว่า กรมป่าไม้พร้อมให้การสนับสนุนประชาชนที่ปลูกไม้มีค่าทางเศรษฐกิจ ร่วมลงทะเบียนไม้มีค่าในที่ดินกรรมสิทธิ์ (E-Tree) ผ่านเว็บไซต์กรมป่าไม้ เพื่อเป็นการส่งเสริมการปลูกต้นไม้ และการค้าไม้เศรษฐกิจอย่างถูกต้องตามกฎหมาย โดยประชาชนจะได้รับประโยชน์ในด้านการอำนวยความสะดวกเรื่องการทำไม้และการเคลื่อนย้ายไม้ และในอนาคตไม่จำเป็นต้องทำเรื่องขออนุญาตจากเจ้าหน้าที่อีกต่อไป เป็นประโยชน์ต่อการส่งเสริมอุตสาหกรรมไม้และการบริหารจัดการด้านการป่าไม้ให้มีประสิทธิภาพ ส่งผลดีต่อเศรษฐกิจทางด้านป่าไม้ของประเทศต่อไป