กกต.ยกคำร้อง 2 ส.ส.ภท. กรณี “นิพิฏฐ์” กล่าวหารู้เห็นตั้งกลุ่มไลน์เก็บบัตรประชาชน-ซื้อเสียง แต่สั่งดำเนินคดีอาญาผู้มีสิทธิเลือกตั้งโพสต์ข้อความใส่ร้าย
วันนี้ (22 เม.ย.) เว็บไซต์สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ได้เผยแพร่คำวินิจฉัยยกคำร้องกรณีนายฉลอง เทอดวีระพงศ์ ส.ส.เขต 2 พัทลุง พรรคภูมิใจไทย นางนาที รัชกิจประการ ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคภูมิใจไทย ถูกนายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ ผู้สมัคร ส.ส.เขต 2 พัทลุง พรรคประชาธิปัตย์ ร้องเรียนว่าใช้ สนับสนุน หรือร่วมเห็นเป็นใจให้นายเปี่ยม สงคง ผู้มีสิทธิเลือกตั้งกระทำผิดกฎหมายเลือกตั้ง มาตรา 13 วรรค 1 (1) และ (5) โดยกรณีมีการตั้งกลุ่มไลน์ชื่อ “รักเพื่อน” เพื่อทำการเก็บบัตรประชาชนของผู้มีสิทธิเลือกตั้ง และให้เงินแก่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งและวันที่ 22 มี.ค. 62 นายเปี่ยมได้โพสต์ข้อความในกลุ่มไลน์ว่า “ถ้าใครถูกจับตอนเที่ยงแจกเงินให้ว่าเงินพรรคประชาธิปัตย์ ผมถูกตำรวจมาสอบเรื่องเก็บบัตรประชาชน ผมบอกว่าพรรคประชาธิปัตย์ให้เก็บ” ซึ่งแม้นายนิพิฏฐ์ ผู้ร้องจะเห็นว่าการกระทำของนายเปี่ยมผิดกฎหมายเลือกตั้ง แต่จากการไต่สวนพยานบุคคลที่เป็นสมาชิกในกลุ่มไลน์ ให้ถ้อยคำว่าไม่มีการสนทนาเกี่ยวกับเรื่องการให้เงิน ชักชวนให้ซื้อเสียงพยานหลักฐาน จึงยังฟังไม่ได้ว่านายเปี่ยมกระทำการตามที่กล่าวหา
ส่วนที่นายนิพิฏฐ์ผู้ร้องเห็นว่าการโพสต์ข้อความดังกล่าวของนายเปี่ยม เป็นการใส่ร้ายด้วยความเท็จจริงใจให้เข้าใจผิดในคะแนนนิยมผู้สมัครและพรรคประชาธิปัตย์ จากการไต่สวนนายเปี่ยมให้ถ้อยคำว่าได้โพสต์ข้อความตามที่กล่าวหาจริง แต่ได้ลบข้อความไปแล้ว สาเหตุที่โพสต์ข้อความเพราะไม่พอใจการกระทำของนายนิพิฏฐ์ผู้ร้องที่เคยให้เจ้าหน้าที่ตำรวจมาทำการตรวจสอบเกี่ยวกับการกระทำผิดอาญา และกฎหมายเลือกตั้งที่บ้านของตน เมื่อนายเปี่ยมให้ถ้อยคำว่าเป็นผู้โพสต์ข้อความดังกล่าว และข้อความนั้นเป็นข้อความเท็จว่าพรรคประชาธิปัตย์ให้เงินแก่ผู้มีสิทธิเลือกตั้ง ทั้งที่ไม่ปรากฏพยานหลักฐานหรือพฤติการณ์ว่ามีการกระทำดังกล่าว อันทำให้นายนิพิฏฐ์ผู้ร้องซึ่งเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งของพรรคประชาธิปัตย์ และพรรคประชาธิปัตย์ได้รับความเสียหาย การกระทำของนายเปี่ยมจึงเป็นการใส่ร้ายด้วยความเท็จ หรือจงใจให้เข้าใจผิดในคะแนนนิยมของผู้สมัคร และพรรคการเมือง จึงมีคำสั่งให้ดำเนินคดีอาญาต่อนายเปี่ยมในข้อกล่าวหานี้ ตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.มาตรา 73 วรรค1 (5) ประกอบมาตรา 159
ส่วนที่อ้างว่านายฉลอง และนางนาทีเป็นสมาชิกในกลุ่มไลน์ดังกล่าว เป็นผู้รู้เห็นเป็นใจกับการกระทำของนายเปี่ยม จากการไต่สวน พยานบุคคลซึ่งเป็นสมาชิกในกลุ่มไลน์ดังกล่าวจำนวน 2 ปากให้ถ้อยคำสอดคล้องกันว่าไม่เคยพบเห็นข้อความดังกล่าวในกลุ่มไลน์แต่อย่างใด ประกอบกับบริษัท LINE Company ประเทศไทย จำกัด แจ้งว่าไม่ได้เป็นผู้ครอบครองข้อมูลแอปพลิเคชัน LINE กลุ่มรักเพื่อนจึงไม่มีพยานหลักฐานที่ยืนยันได้ว่านายฉลองได้รับทราบถึงการโพสต์ข้อความของนายเปี่ยม ส่วนนางนาทีมีพยานบุคคลที่เป็นสมาชิกในกลุ่มไลน์จำนวน 1 ปากให้ถ้อยคำว่านางนาทีไม่ได้เป็นสมาชิกในกลุ่มไลน์ และไม่มีพยานบุคคลใดยืนยันว่านางนาที ก่อ สนับสนุน หรือรู้เห็นเป็นใจกับการกระทำของนายเปี่ยม พยานหลักฐานจึงฟังไม่ได้ว่านายฉลอง และนางนาทีกระทำการตามที่กล่าวหา