xs
xsm
sm
md
lg

ฟังไว้! ดร.เฉลิมพล ชี้ชัด “ยุโรป” หลงตัวเอง-ประมาท จนพังพินาศ ผู้ว่าฯเชื่อ “นิวยอร์ก” ระบาดถึงจุดสูงสุดแล้ว

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


ภาพคนเสียชีวิตจำนวนมากในยุโรป จากแฟ้ม
“ดร.เฉลิมพล” วิเคราะห์เหตุใดประเทศพัฒนาแล้ว อย่างยุโรป จึงพังพินาศ เพราะโควิด-19 คำตอบ คือ “หลงตัวเองและอยู่ในความประมาท” ผู้ว่าการรัฐนิวยอร์ก เชื่อการแพร่ระบาดถึงจุดสูงสุดแล้ว เห็นได้จากผู้ป่วยลดลงทุก 3 วันต่อเนื่อง

น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง วันนี้ (15 เม.ย. 63) ดร.เฉลิมพล ไวทยางกูร นักวิชาการอิสระ โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว ระบุว่า

“นั่งดูตัวเลขล่าสุดของแต่ละประเทศที่เกิดโรคระบาดโควิด-19 ที่มีผู้เสียชีวิตสูงสุด 14 ประเทศแรก อดคิดไม่ได้ว่า เกือบทุกประเทศเป็นประเทศพัฒนาแล้วใน OECD และเป็นประเทศที่ใช้จ่ายเรื่องสุขภาพประชาชนสูงที่สุดในโลกแทบทั้งสิ้น ยกเว้นบางประเทศ เช่น จีน และ อิหร่าน เท่านั้น แต่ก็ถือว่าพัฒนาระดับสูงแล้ว มันต้องมีบางอย่างที่ผิดปกติ...

จริงอยู่ ยังมีอีกหลายประเทศกำลังพัฒนาและด้อยพัฒนาที่เกิดสภาวะโรคระบาด และอาจมีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก แต่นั่นเป็นสิ่งที่ไม่เหนือความคาดหมาย เพราะเป็นประเทศที่ยังไม่พัฒนามาก ระบบสาธารณสุขยังไม่สมบูรณ์ เรื่องสุขภาพของประชาชนยังล้าหลัง

ถ้าจะบอกว่า รัฐบาลของประเทศพัฒนาแล้วเหล่านี้ ตั้งตัวไม่ทันเพราะเกิดการระบาดอย่างรวดเร็ว ขาดเครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์เพื่อช่วยชีวิตผู้ป่วย ก็ไม่น่าใช่ เครื่องมือและอุปกรณ์เหล่านี้ไม่ได้แพงมาก ไม่ว่าหน้ากากอนามัย PPE หรือ Ventilator, Respirator ที่ใช้ช่วยในการหายใจของผู้ป่วย ราคาถูกกว่ารถยนต์ที่แต่ละบริษัทผลิตมาปีละนับสิบล้านคัน การปรับเปลี่ยนให้บริษัทอุตสาหกรรมมาผลิตอุปกรณ์ทางการแพทย์ก็น่าจะทำได้รวดเร็ว เพราะผลิตด้วยเครื่องจักรทั้งสิ้น

สิ่งหนึ่งที่คิดคือ การหลงตัวเองของประเทศเหล่านี้ หลงอย่างไร...หลงว่าระบบสุขภาพของตนดีที่สุดในโลก ประชาชนของประเทศได้รับการดูแลสุขภาพดีที่สุดในโลก แล้วก็เลยขาดการเตรียมตัว เตรียมพร้อมรับมือสิ่งที่เป็นเรื่องฉุกเฉินเร่งด่วน เหมือนโดนสึนามิถล่ม

เรื่องแบบนี้ ถือเป็นความเสี่ยงของประเทศที่มีความมั่นคงที่ไม่เคยเจอเรื่องฉุกเฉิน หรือนานจะเจอสักครั้ง พอเจอเข้า ก็พังพินาศ คงพูดอย่างอื่นไม่ได้ นอกจากคำว่า...ตั้งอยู่บนความประมาท...”

ภาพวิกฤตโควิด 19 ในนิวยอร์ก จากแฟ้ม
ไหนๆ ก็พูดถึงต่างประเทศแล้ว มาดูสถานการณ์ในรัฐนิวยอร์ก ซึ่งมีผู้เสียชีวิตจากโรคนี้จำนวนมาก อย่างน่าตกใจ เศร้าใจ

วันนี้เช่นกัน เพจเฟซบุ๊กสถานกงสุลใหญ่ ณ นครนิวยอร์ก โพสต์ว่า

“สกญ.ขอเรียนรายงานพัฒนาการล่าสุดของการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (COVID-19) ในรัฐและนครนิวยอร์ก (สถานะ 14 เม.ย. 2563 เวลา 16.00 น.) ตามที่ประมวลจากแหล่งข่าวต่างๆ ดังนี้

1. การแถลงข่าวของนาย Andrew Cuomo ผู้ว่าการรัฐนิวยอร์ก ซึ่งสรุปสาระสำคัญได้ดังนี้ 1.1 นับจนถึง 14 เม.ย. 2563 เวลา 14.30 น. (เวลาสหรัฐฯ) ระบุว่า รัฐ/ นครนิวยอร์ก พบผู้ติดเชื้อไวรัส COVID-19 จำนวน 202,365 คน (เพิ่มขึ้นจากวันก่อน ร้อยละ 3.76) ซึ่งสูงที่สุดในสหรัฐฯ เสียชีวิต จำนวน 10,834 คน (เพิ่มขึ้นจากวันก่อน ร้อยละ 7.73) โดยแบ่งเป็นในรัฐนิวยอร์ก จำนวน 91,940 คน และนครนิวยอร์ก จำนวน 110,425 คน ทั้งนี้ นาย Cuomo เห็นว่า โดยที่อัตราเฉลี่ยการเพิ่มขึ้นของจำนวนผู้ป่วยติดเชื้อที่เข้ารับการรักษาใน รพ.ทุก 3 วัน ได้ลดลงต่อเนื่อง แสดงให้เห็นว่า จำนวนผู้ติดเชื้อไวรัส COVID-19 ในนครนิวยอร์กได้ถึงจุดสูงสุดแล้ว นอกจากนี้ อัตราการเพิ่มขึ้นของจำนวนผู้ติดเชื้อนอกนครนิวยอร์กก็ได้ลดลงเช่นกัน

1.2 ย้ำความจำเป็นที่ต้องดำเนินการเป็นพันธมิตรร่วมกับผู้ว่าการรัฐใกล้เคียงอีก 6 รัฐ ได้แก่ นิวเจอร์ซีย์ คอนเนตติคัต เพนซิลเวเนีย เดลาแวร์ โรดไอแลนด์ และ แมสซาชูเซตส์ เกี่ยวกับแผนการเปิดระบบเศรษฐกิจอีกครั้ง เนื่องจากโรคระบาดไม่มีพรมแดน และต้องการสร้างความมั่นใจเกี่ยวกับสุขภาพและความปลอดภัยของประชาชนด้วย

1.3 เห็นว่า ยังคงต้องการชุดตรวจทดสอบการติดเชื้อจำนวนมากเพื่อประเมินภัยคุกคามที่เกิดจากเชื้อไวรัส COVID-19 ขณะนี้ บ.เอกชนสามารถผลิตชุดตรวจทดสอบได้ 60,000 ชุด/ เดือน ซึ่งนาย Cuomo เห็นว่า ยังไม่เพียงพอ และเรียกร้องให้ผู้นำ รบ. และ บ.เทคโนโลยีชั้นนำของสหรัฐฯดำเนินงานร่วมกันเพื่อจัดตั้งระบบทดสอบการติดเชื้อ และการใช้เทคโนโลยีติดตามเพื่อป้องกันการแพร่ระบาด

1.4 ต่อข้อสอบถามที่ว่า ปธน.ทรัมป์ ยืนยันว่า ตนมีอำนาจเต็มที่ในการตัดสินใจยกเลิกข้อกำหนด/ มาตรการในการสกัดกั้นการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 นั้น นาย Cuomo เห็นว่า การยืนยันดังกล่าวไม่น่าถูกต้อง แต่ตนไม่อยากทะเลาะกับ ปธน.ทรัมป์ และไม่อยากโยงเป็นเรื่องการเมือง ในช่วงเดือนที่ผ่านมา ตนได้ดำเนินการสร้างพันธมิตรกับรัฐบาลสหรัฐฯ และยังคงต้องการรักษาปฏิสัมพันธ์กับ ปธน.ทรัมป์ และ จนท. รบ.สหรัฐฯ นอกจากนี้ ตนจะไม่ทำตามคำสั่งการใดๆ จาก ปธน. ทรัมป์เกี่ยวกับการลดหย่อนการดำเนินมาตรการเกี่ยวกับเชื้อไวรัส COVID-19 หากประเมินแล้วว่าจะก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อประชาชนในรัฐ

2. พัฒนาการอื่น 2.1 เมื่อช่วงเช้าของ 14 เม.ย. 2563 นาย Bill de Blasio นายกเทศมนตรีนครนิวยอร์กแถลงว่า (1) จำนวนผู้ติดเชื้อไวรัส COVID-19 ที่เข้ารับการรักษาใน รพ. ลดลงจาก 383 เป็น 326 คน อย่างไรก็ดี จำนวนผู้ติดเชื้อและผู้เข้ารับการรักษา ICU กลับเพิ่มขึ้น (2) จะจัดซื้อเครื่องมือตรวจทดสอบเชื้อไวรัส COVID-19 อีก 50,000 ชุดจาก บ. Carmel ในรัฐอินดิแอนา นอกเหนือจากที่ได้รับบริจาคจาก บ. Aria Diagnostics มาแล้ว 50,000 ชุด

2.2 เมื่อ 14 เม.ย. 2563 นาง Janet Mills ผู้ว่าการรัฐเมนได้ประกาศขยาย ‘State of Civil Emergency’ ไปจนถึง 15 พ.ค. 2563 เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 โดยจำนวนผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่ยังคงอยู่ในเขต Cumberland County.” (จากไทยโพสต์)

ส่วนสถานการณ์การแพร่ระบาดในภาพรวมทั่วโลกนั้น

ล่าสุด เมื่อเวลา 12.25 น.(วันนี้) พบว่า มีผู้ติดเชื้อทั่วโลกใน 210 ประเทศและดินแดน โดยมีผู้ติดเชื้อทั่วโลกทะลุ 2 ล้านคน โดยอยู่ที่ 2,000,066 คน เพิ่มขึ้น 2,205 คน เสียชีวิต 126,754 คน เพิ่มขึ้น 155 คน และรักษาหาย 484,597 คน โดยสหรัฐอเมริกายังเป็นประเทศที่มีผู้ติดเชื้อมากที่สุด 614,246 ราย เพิ่มขึ้น 360 ราย และเสียชีวิต 26,064 ราย เพิ่มขึ้น 17 ราย (จากไทยโพสต์)

แน่นอน, ประเด็นของ “ดร.เฉลิมพล” นอกจากสะท้อนให้เห็นอย่างชัดเจนว่า การหลงตัวเองและความประมาท ตามคำสอนของพุทธศาสนาบ้านเรา ก็บอกอยู่แล้วว่า เป็นเหตุแห่งความตาย จงใช้ชีวิตด้วยความไม่ประมาท

หากแต่ประเด็นสำคัญ ยังเป็นแง่คิด หรือ บทเรียนได้เช่นกัน ว่า เราจะเรียกร้องให้ผ่อนคลาย พ.ร.ก.ฉุกเฉิน และ เคอร์ฟิว ของคนบางกลุ่ม เพื่อต้องการเสรีภาพในการใช้ชีวิตประจำวันนั้น เข้าข่ายหลงตัวเอง ว่า ควบคุมได้แล้ว ยอดลดลงแล้ว เราสามารถป้องกันตัวเองได้ รัฐบาล “ลุงตู่” เลิกทำตัวบ้าอำนาจ บังคับชี้นำทุกอย่างได้แล้ว

เรากำลังจะนำตัวเอง ไปสู่ความประมาทหรือเปล่า แล้วถ้าเกิดถึงขั้นเอาไม่อยู่ขึ้นมาในภายหลัง นั่นคือ ความตายใช่หรือไม่ นี่คือ บทเรียน ที่คนไทยทุกคนจะต้องช่วยกันคิดพิจารณา ไม่หลงตัวเอง และประมาทจนเกินไป ก็น่าจะเป็นผลดีมากกว่าเสีย หรือว่าไม่จริง!?


กำลังโหลดความคิดเห็น