กลับมาได้ยินเรื่องที่ทำให้หัวใจพองโตขึ้นมาอีกรอบ หลังจากที่โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน ได้แถลงข่าวประจำวันล่าสุด เมื่อวันที่ 9 เมษายน รายงานตัวเลขผู้ป่วยจากการติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ หรือ โควิด-19 ว่า มีรายใหม่ 54 ราย เสียชีวิตเพิ่มอีก 2 ราย รักษาหายเพิ่ม 52 ราย ส่งผลให้มีผู้ป่วยสะสมจำนวน 2,423 ราย เสียชีวิตรวม 32 ราย รักษาหายรวม 940 ราย
เมื่อเห็นตัวเลขแบบนี้ ก็ต้องถือว่าทำให้ใจชื้นขึ้นมาอีก หลังจากเมื่อวันที่ 8 เมษายน ที่ผ่านมา ได้รับรายงานตัวเลขผู้ป่วยเพิ่มพรวดขึ้นมาถึง 111 ราย เพิ่มจากวันก่อนหน้าที่มีตัวเลขสองหลัก
อย่างไรก็ดี หากมองในแง่บวกก็อาจพออธิบายได้ว่า ในตัวเลข 111 รายดังกล่าว แยกเป็นผู้ป่วยรายใหม่ที่บวกเพิ่มจากผู้ป่วยที่เดินทางมาจากร่วมกิจกรรมทางศาสนาที่ประเทศอินโดนีเซีย ถึง 42 คน นอกนั้นก็เป็นผู้ป่วยภายในประเทศ รวมทั้งผู้ป่วยที่เดินทางเข้ามาจากต่างประเทศอื่นๆ
เอาเป็นว่าหากพิจารณาจากตัวเลขผู้ติดเชื้อจนเป็นผู้ป่วยภายในประเทศในช่วงสองสามวันนี้ ยังถือว่ายังเป็นตัวเลขสองหลักอยู่ ขณะที่ตัวเลขผู้ป่วยที่มาจากร่วมกิจกรรมทางศาสนาที่อินโดนีเซีย แม้จะมีตัวเลขเป็นผู้ป่วยรายใหม่จำนวนมากก็ตาม แต่พวกเขาก็ถูกนำมากักตัวอยู่ในพื้นที่ ที่สามารถควบคุมโรค นั่นคือ อยู่ภายใต้กาดูแลในระบบทางสาธารณสุขเรียบร้อยแล้ว ไม่ได้อยู่กระจัดกระจายอยู่ข้างนอก
ขณะเดียวกัน ยังมีการเตรียมรับคนไทยที่เดินทางมาจากต่างประเทศที่ทยอยกันมาเพิ่มอีกในช่วงอีกไม่กี่วันข้างหน้า โดยเฉพาะจากประเทศมาเลเซีย ที่กำลังจ่อคิวเดินทางเข้ามาทางชายแดนภาคใต้อีกราว 800 คน ก็ต้องลุ้นว่ามีติดเชื้อปะปนเข้ามากี่คน แต่ถึงอย่างไรพวกเขาก็จะถูกกักตัวตามสถานที่ ที่จัดเตรียมเอาไว้แล้ว
อีกสัญญาณที่สะท้อนให้เห็นว่ามีแนวโน้มที่ดีที่ชัดเจน ก็คือ คำยืนยันล่าสุดของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี หลังการประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) เมื่อวันที่ 9 เมษายน ที่ผ่านมา หลังประเมินสถานการณ์หลังจากประกาศเคอร์ฟิวครบ 7 วัน ว่าจะไม่มีการขยายเวลาในการเพิ่มเวลาในการห้ามออกนอกเคหสถาน นั่นคือ ยังเป็นแบบเดิม คือ ตั้งแต่เวลา 22.00 น.ถึง 04.00 น. หลังจากก่อนหน้านี้ มีรายงานข่าวอาจจะเพิ่มเวลาในการขยายเคอร์ฟิวออกไปมากขึ้น ซึ่งที่ผ่านมานายกรัฐมนตรี ก็ยังเคยระบุว่าแล้วแต่สถานการณ์ หากไม่ดีขึ้นก็อาจมีการขยายเวลาก็ได้
แต่เมื่อล่าสุดยังเป็นแบบเดิม นั่นก็หมายความว่า แนวโน้มของสถานการณ์การแพร่ระบาดยังอยู่ในภาวะควบคุมได้ และเมื่อพิจารณาจากตัวเลขผู้ป่วยในประเทศล่าสุด ก็กลับมาสู่เลขสองหลักต่อเนื่องก็ทำให้ใจชื้นอีก
ขณะเดียวกัน พิจารณาจากคำสั่งล่าสุดของทางกรุงเทพมหานคร ที่ห้ามจำหน่ายสุราทุกร้านค้า ระหว่างวันที่ 10-20 เมษายนนี้ รวมทั้งสั่งปรับเวลาปิดร้านสะดวกซื้อ-ร้านค้า เป็น 4 ทุ่ม ถึงตี 4 เมื่อพิจารณาจากวัน เวลา ก็ย่อมหมายถึงการป้องกันต่อเนื่องไปในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ที่แม้ว่าก่อนหน้านี้ ได้มีการสั่งยกเลิกวันหยุด งดเว้นการจัดงานตามเทศกาล รวมไปถึงประกาศของสำนักพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ที่มีไปถึงทุกวัด ห้ามไม่ให้มีการทำบุญสรงน้ำพระ เพื่อไม่ให้มีการรวมกลุ่ม ป้องกันแพร่ระบาด
อีกทั้งในหลายจังหวัด ที่มีการ “ล็อกดาวน์” ภายในจังหวัด ทำให้การเดินทางเข้าออก มีความเข้มงวด หรือทำให้การเดินทางทำได้ยาก หรือไม่มีความสะดวก ขณะเดียวกัน เมื่อพิจารณาจากความตื่นตัวของประชาชนทั่วประเทศ ถือว่าอยู่ในขั้นดีทีเดียว อย่างน้อยได้เห็นการสวมหน้ากากอนามัยแทบทุกคนเวลาออกนอกบ้าน รวมถึงการเว้นระยะห่างทางสังคม
ดังนั้น เมื่อพิจารณาจากเงื่อนไขและองค์ประกอบทุกอย่างที่ประมวลมาทั้งหมด ทำให้พอมั่นใจได้ว่า เวลานี้สามารถควบคุมได้ในระดับหนึ่ง อย่างน้อยการระบาดก็ไม่แพร่กระจาย จนไร้การควบคุม และสิ่งที่สรุปได้ในเวลานี้ ที่เป็นคำตอบก็คือ การที่ไม่มีการขยายเวลาเคอร์ฟิวเพิ่มเติม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ตัวเลขผู้ป่วยที่ยังเป็นเลขสองหลัก แต่ถึงอย่างไรจะ “การ์ดตก” ไม่ได้เป็นอันขาด
แต่นาทีนี้ ถือว่าสามารถทำให้ “โควิดหัวทิ่ม” ลงสู่พื้น ไม่ใช่เป็นลักษณะของการเชิดหัวขึ้นเหมือนช่วงสัปดาห์ก่อน ก็ถือว่าทำให้ใจชื้นขึ้นมาเป็นกอง !!