รมว.สธ.เข้าทำเนียบฯ รายงานสถานการณ์โควิด-19 นายกฯ ชี้ไม่มีอำนาจประกาศเคอร์ฟิว วอนประชาชนหยุดอยู่กับที่ 14 วัน งดแพร่เชื้อ ย้ำไม่มีมาตรการไหนได้ผลเท่าความร่วมมือ
วันนี้ (22 มี.ค.) เมื่อเวลา 13.20 น. ที่ทำเนียบรัฐบาล นายอนุทิน ชาญวีรกูล รัมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ภายหลังเข้าประชุมนายกฯ ว่าตนมารายงานสถานการณ์หลังจากมีการประชุมชุดใหญ่ร่วมกับคณบดีแพทยศาสตร์ ซึ่งขณะนี้พบว่าผู้ป่วยโควิด-19 ส่วนใหญ่อยู่ในกรุงเทพฯ ขณะที่โรงพยาบาลของกระทรวงสาธารณสุขมี 3-4 แห่ง โดยโรงพยาบาลส่วนใหญ่ขึ้นอยู่กับคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยต่างๆ เช่น รามาธิบดี ศิริราช ฯลฯ ดังนั้น ต้องเชิญคณะดีจากโรงพยาบาลเหล่านี้มาหารือกันว่าจะร่วมทำงานกันอย่างไร และขณะนี้ขาดอะไร และต้องการให้กระทรวงสาธารณสุขสนับสนุนด้านใดเพิ่มเติม เพราะขณะนี้กระทรวงสาธารณสุขเป็นคนคุมสต๊อกทั้งยา และเวชภัณฑ์ ไปจนถึงชุดถุงมือ และหน้ากากให้แพทย์ เพราะเราต้องใช้องค์การเภสัชกรรมเป็นผู้ซื้อ ของส่วนใหญ่เราซื้อมาจากประเทศจีน จึงง่ายหากให้หน่วยงานรัฐบาลเป็นผู้ติดต่อ ดังนั้นจึงนำรายละเอียดมารายงานนายกฯ ว่าการประชุมระหว่างกระทรวงสาธารณสุข และแพทย์เป็นไปด้วยดี มีการแบ่งว่าให้กรมการแพทย์เป็นศูนย์กลางในการประสานงานกับคณะแพทย์ทุกโรงพยาบาล และคณะแพทยศาสตร์ทุกคณะใน กทม. เพื่อรับผู้ป่วย รวมถึงส่งยาและเวชภัณฑ์ต่างๆ
เมื่อถามว่า ตัวเลขที่เพิ่มขึ้น นายกฯ ได้แสดงความกังวลหรือมีการเสนอให้มีการใช้มาตรการที่เข้มข้นกว่านี้อีกหรือไม่ นายอนุทินกล่าวว่า ขณะนี้มาตรการต่างๆ ก็ใช้เต็มที่แล้ว เหลืออย่างเดียวต่อให้เป็นกฎหมายออกมาอย่างไรก็สู้ความร่วมมือไม่ได้ ทุกคนต้องให้ความร่วมมือในการอยู่บ้าน หรือโซเชียลดิสแพลนซิ่ง งดการสังสรรค์ แค่เพียง 2-3 สัปดาห์ซึ่งองค์การอนามันโลก หรือ WHO ได้ย้ำเรื่องนี้ให้ประชาชนได้ยินทุกวันว่าให้แยกตัว และดูแลตัวเองให้ดี เป็นวิธีที่จะป้องกันเชื้อโควิด-19 ได้ดีกว่าทุกมาตรการ
เมื่อถามว่า ในช่วงประกาศงกออดจากบ้านนี้ ปรากฏว่ามีประชาชนเดินทางกลับต่างจังหวัดเนื่องจากสถานประกอบการต่างๆ ปิดด้วย นายอนุทินกล่าวว่า ถ้าเราเข้าใจว่าทำไมถึงออกมาตรการแบบนี้มา ก็เพื่อต้องการให้ทุกคนอยู่นิ่ง โรคนี้ใช้ระยะฟักตัว 14 วัน ถ้าผู้คนอยู่นิ่งได้ถึง 14 วัน ก็เท่ากับโรคนี้จะไม่มีการกระจาย จะเหลือเพียงผู้ป่วย แล้วเราก็ไปรักษาผู้ป่วย ส่วนการควบคุมไม่ไห้คนเดินทางกลับนั้น เราก็ต้องควบคุมด้วยกฎหมาย แต่ที่สำคัญที่สุดคือความร่วมมือ ถ้ายังมีการเดินทางกันอีกโดยที่สภาพตัวเองก็ไม่พร้อมก็ต้องระมัดระวังตัวเอง แต่ที่สำคัญที่สุดถ้าไม่จำเป็นก็ไม่ต้องเดินทาง ซึ่งการประกาศให้หยุดก็ไม่ใช่ให้หยุดทุกอย่าง มีบางส่วนที่ทำงานได้ หรือทำงานที่บ้านตามปกติ แต่ถ้าจำเป็นต้องกลับบ้านจริงๆ ก็ต้องป้องกันตัวเองสูงสุด เราไม่สามารถห้ามได้ ทุกคนมีอิสรเสรี แต่ต้องมีสำนึกรับผิดชอบ และเมื่อกลับถึงภูมิลำเนาแล้วควรเก็บตัว ซึ่ง กทม.ประกาศ 3 สัปดาห์ แต่โรคใช้ระยะฟักตัว 14 วัน หากทุกคนเก็บตัวได้ครบแล้วไม่ปรากฏอาการก็จะได้สบายใจระดับหนึ่ง
เมื่อถามถึงความเป็นไปได้ในการประกาศเคอร์ฟิว นายอนุทินถอนหายใจก่อนกล่าวว่า ทางกระทรวงสาธารณสุขทำงานภายใต้ พ.ร.บ.โรคติดต่อ ไม่มีอำนาจ และบังคับอะไรมากไม่ได้ มีเพียงคำแนะนำว่าประชาชนควรปฏิบัติตัวอย่างไร