รองหัวหน้า ปชป.เชื่อชาวบ้านไม่เอากระเเสเปลี่ยนม้ากลางศึก ติง พท.โหนกระแส แนะใครมีหน้าที่อะไรให้ทำไป ยุ ส.ส.ใหม่ พปชร. พูดเยอะๆ ชาวบ้านจะได้รู้ใครโง่ ใครนักปราชญ์
วันนี้ (16 มี.ค.) นายนิพิฎฐ์ อินทรสมบัติ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) กล่าวถึงกรณีที่พรรคเพื่อไทย (พท.) ออกมาโหมกระแสเรื่องการรัฐประหาร เปลี่ยนม้ากลางศึก จากสัญญาการไม่รับเงินเดือน ส.ว.โดยตำแหน่งของ 6 ผู้นำเหล่าทัพว่า พรรคเพื่อไทยพูดทุกเรื่องเป็นการเมือง เพื่อทำลายความเชื่อเชื่อของบุคคลที่เขาพูดถึง ซึ่งตอนผู้นำเหล่าทัพเป็น ส.ว.รับเงินเดือนสองทาง พรรคเพื่อไทยก็วิจารณ์ แต่พอมาประกาศรับเงินเดือนทางเดียวก็มาวิจารณ์อีก อย่างไรก็ตาม บางเหตุผลที่เพื่อไทยพูดก็สมเหตุสมผลเหมือนกัน เพราะในโลกประชาธิปไตย คนมีตำแหน่งไม่ควรรับเงินเดือนสองทาง ซึ่งตอนที่ยึดอำนาจ มีอำนาจเบ็จเสร็จจะรับเงินเดือนสองทางก็ว่ากันไป แต่ความจริงแล้วไม่ควรรับเงินเดือนสองทางตั้งแต่ต้น ดังนั้นผู้นำเหล่าทัพจะต้องยอมรับการถูกวิจารณ์
“การที่เพื่อไทยโหนกระแสเปลี่ยนม้ากลางศึกนั้น ผมไม่เห็นด้วย ซึ่งปัญหาโรคโควิค-19 นั้นทั้งโลกก็กำลังเผชิญวิกฤติอยู่ ดังนั้น การจะมาเปลี่ยนม้ากลางศึกในขณะนี้คิดว่าชาวบ้านไม่ยอมรับแน่ ขณะนี้ใครมีหน้าที่อะไร โดยเฉพาะผู้แทนฯ ก็ขอให้ทำให้ดีที่สุดก่อน เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของชาวบ้าน และให้ความร่วมมือกับรัฐบาลในการต่อสู้วิกฤตครั้งนี้ดีกว่า การพูดก็พูดได้และควรเป็นไปในแนวทางแนะนำ ติติงหรือชี้ช่องทาที่ดีกว่า ไม่ควรพูดอะไรหรือทำอะไรให้ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดเสียกำลังใจโดยไม่เกิดประโยชน์ เช่นถ้าพูดเป็นการเมืองไปหมด ชาวบ้านจะรับไม่ได้” นายนิพิฏฐ์กล่าว
นายนิพิฏฐ์ยังกล่าวถึงกรณีนายศาสตรา ศรีปาน ส.ส.สงขลา พรรคพลังประชารัฐ โพสต์ด่าประชาชนโง่ ว่าให้ ส.ส.คนนี้พูดเยอะๆ ดีกว่า เพราะการพูดจะแสดงให้ชาวบ้านได้รู้ว่าใครเป็นปราชญ์ และใครเป็นคนโง่ที่แท้จริง ยิ่งได้พูดบ่อยจะได้รู้ว่าเขาโง่หรือไม่โง่ อย่างไรก็ตาม ตนไม่อยากไปวิจารณ์มาก เพราะการเลือกตั้งรอบที่แล้ว ชาวปักษ์ใต้ เปลี่ยน ส.ส.เก่าไปเยอะ ดังนั้นครั้งนี้อยากให้ชาวบ้านได้พิจารณาบทเรียนด้วยใจเป็นธรรม เปรียบเทียบ ส.ส.เก่าและ ส.ส.ใหม่ที่ท่านเลือกไป
“ส.ส.ใหม่ด่าท่านว่าโง่ แต่ ส.ส.เก่าเคยพูดแบบนี้หรือไม่ หรือที่ท่านคิดว่า ส.ส.เก่าอยู่นานแล้วไม่ทำอะไรเลือกคนใหม่แล้วน่าจะดีกว่าคนเก่า แต่เลือก ส.ส.คนใหม่เข้าไป ส.ส.ใหม่กลับไปเสียบบัตรแทนกัน ไม่ยอมทำงาน ดังนั้นสิ่งต่างๆ ก็เป็นบทเรียน ไม่อย่างนั้นการเมืองก็ไม่ก้าวหน้าไปไหน” นายนิพิฏฐ์กล่าว
