“เจ้าของตึกใหญ่กลางกรุง” จี้ รบ.ทบทวนราคาขาย “หน้ากากอนามัย” ชี้ทำให้ยิ่งขาดแคลน-พ่อค้าตุนสินค้า โดดไปขายออนไลน์ที่ได้ราคามากกว่า เซ็ง พณ.กดราคา 2.50 บาท/ชิ้นต่ำกว่าความเป็นจริง ทั้งที่เดิมขายกัน 8-10 บ. โอดหวังดีหา “มาสก์” มาขายคนในตึกต่ำกว่าทุน แต่โดนเบรก เหตุโทษแรง เตือนคนไม่มีอุปกรณ์ป้องกันเสี่ยงระบาดหนัก ยกกรณี “เจ้าของร้านตึก all season” ติดเชื้อคนเดียว ตึกแทบร้าง-ร้านค้าเจ๊ง
จากกรณี คณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ (กกร.) กระทรวงพาณิชย์ ออกประกาศกำหนดราคาจำหน่ายหน้ากากอนามัยทางการแพทย์ (Surgical Mask) ที่ผลิตภายในประเทศ ไม่เกินชิ้นละ 2.50 บาท ตั้งแต่เมื่อวันที่ 6 มี.ค.ที่ผ่านมา
วันนี้ (11 มี.ค.) ผู้ประกอบการอาคารสำนักงานให้เช่ารายหนึ่ง ย่านสุขุมวิท (ไม่ประสงค์ออกนาม) กล่าวแสดงความไม่เห็นด้วยกับมาตรการดังกล่าว โดยระบุว่า เป็นนโยบายที่สร้างปัญหาให้กับผู้ประกอบการอาคารสำนักงาน รวมทั้งผู้ประกอบการเจ้าของสถานที่ที่มีผู้คนมาติดต่อ หรือสัญจรไปมาจำนวนมากเป็นอย่างมาก เพราะผู้ประกอบการที่เป็นเจ้าของและผู้ประกอบการสถานที่แต่ละแห่ง ก็ต้องการที่จะวางมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรน่า 2019 หรือโรคโควิด-19 ในสถานที่ตัวเองดูแล แต่ก็ไม่สามารถจัดหาหน้ากากอนามัยในราคาที่ กกร.กำหนดมาให้บริการผู้ที่เข้ามาใช้บริการหรือผู้ติดต่อภายในอาคารของเราได้ ขณะเดียวกันหน้ากากอนามัยที่จัดหาได้มาก็ราคาสูงกว่าที่ กกร.กำหนด ไม่สามารถจำหน่ายได้อีก เพราะระวางโทษไว้ค่อนข้างรุนแรง
“ก่อนหน้านี้ผมพยายามหาซื้อหน้ากากอนามัย เพื่อวางมาตรการป้องกันในอาคารของผม แต่ก็ไม่สามารถหาราคาต้นทุนที่ 2.50 บาทต่อชิ้นได้เลย ที่ได้มาส่วนใหญ่ราคาตกที่ 15 บาทต่อชิ้น ก็ยอมนำมาขายต่อให้คนในตึกในราคาต่ำกว่าทุนถึงเกือบครึ่งราคา เพราะรู้ว่าทุกคนมีความจำเป็นต้องใช้ และต้องการป้องกันตัวเองจากโรคระบาด อีกทั้งเราก็ไม่อยากให้เกิดการแพร่ระบาดในตึกที่เราดูแลด้วย แต่หลังกระทรวงพาณิชย์กำหนดราคาขาย 2.50 บาทต่อชิ้น ก็เลยจำเป็นต้องงดจำหน่าย เนื่องจากมีความผิดตามกฎหมาย และบทลงโทษแรง จะให้ขาย 2.50 บาทต่อชิ้น หรือแจกฟรี ก็คงไม่ไหว เพราะต้นทุนมาแพงกว่าหลายเท่าตัว ระหว่างนี้จึงเน้นการให้บริการเจลและแอลกอฮอล์ล้างมือให้มากขึ้น” ผู้ประกอบการรายดังกล่าว ระบุ
ผู้ประกอบการรายดังกล่าว กล่าวด้วยว่า มาตรการกำหนดราคาขายหน้ากากอนามัยของกระทรวงพาณิชย์ เป็นการแก้ไขปัญหาที่ไม่ตรงจุด และมีผลทำให้หน้ากากอนามัยที่มีความจำเป็นอย่างมากในสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 ยิ่งขาดแคลนมากกว่าเดิม เพราะไม่เพียงประชาชนทั่วไปจะไม่สามารถหาซื้อได้ในราคาที่ กกร.กำหนดไว้ได้ ยังทำให้ราคาที่จำหน่ายสูงขึ้นอีก ต้องไม่ลืมว่าในภาวะปกติหน้ากากอนามัยทางการแพทย์ที่จำหน่ายในร้านสะดวกซื้อทั่วไปก็ตกอยู่ชิ้นละ 8-10 บาทอยู่แล้ว เมื่อกดราคาลงไปต่ำกว่าที่ควรจะเป็น ก็ทำให้ผู้จำหน่ายที่มีสต๊อกอยู่ไม่นำสินค้าออกมาขาย และเลือกที่จะไปจำหน่ายในตลาดออนไลน์ หรือตลาดมืดที่ได้ราคามากกว่า เท่าที่ทราบส่วนใหญ่ก็ไม่ต่ำกว่า 14-15 บาทต่อชิ้น จนกลายเป็นขบวนการกักตุนและปั่นราคาหน้ากากอนามัย ที่กำลังเป็นข่าวในขณะพนี้ จึงอยากให้รัฐบาลเร่งทบทวนมาตรการกำหนดราคาจำหน่าย หากยังคงนโยบายเดิมก็ต้องออกมาตรการป้องกันการกักตุน หรือการจำหน่ายเกินราคา ให้ครบทุกมิติ ที่สำคัญควรคำนึงถึงการที่ประชาชนต้องใช้อุปกรณ์ป้องกันความปลอดภัยของตัวเองความทั่วถึงด้วย
“รัฐบาลต้องคิดเรื่องโอกาสในการเข้าถึงของประชาชน และการกระจายอุปกรณ์ป้องกันไวรัสให้เพียงพอทั่วถึง เพื่อระงับยับยั้งการระบาดของโรค หากปล่อยให้ขาดแคลน จนมีการระบาดของไวรัสในจุดใดจุดหนึ่งในประเทศ ย่อมส่งผลกระทบที่ประเมินมูลค่าไม่ได้ ยกตัวอย่างอาคารที่ผมดูแลอยู่ใจกลาง กทม. มีคนไปมาพลุ่งพล่าน หากเกิดการระบาดขึ้น ย่อมไม่เป็นผลดีต่อภาพลักษณ์ทั้งการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจของประเทศที่ย่ำแย่อยู่แล้วอย่างแน่นอน ทั้งๆที่เราก็มีความพร้อมในการดำเนินมาตรการต่างๆ โดยเฉพาะการจำหน่ายหน้ากากอนามัยราคาต่ำกว่าทุน แต่ก็ไม่สามารถทำได้ เพราะเกินราคาที่กำหนด” ผู้ประกอบการรายดังกล่าว ระบุ
ผู้ประกอบการรายดังกล่าว ยังได้ยกตัวอย่างกรณีเจ้าของร้านอาหารในอาคาร all season place ย่าน ถ.วิทยุ กทม. ได้รับการตรวจพบว่าติดเชื้อโควิด-19 ด้วยว่า มีกระแสข่าวมาซักระยะแล้วสำหรับผู้ติดเชื้อรายนี้ ก่อนที่มีการเสนอข่าวผ่านสื่อ ส่งผลให้อาคารดังกล่าวที่เคยมีผู้ใช้บริการจำนวนมาก เงียบเหงาจนแทบจะปิดตึก ธุรกิจที่ซบเซาอยู่แล้วก็ยิ่งแย่หนักกว่าเดิม จากการเปิดเผยของผู้ติดเชื้อก็ยืนยันว่ากลับมาจากประเทศสิงคโปร์ตั้งแต่ต้นเดือน ก.พ.ที่ผ่านมา และไม่ได้เดินทางไปไหนอีก คาดว่าจะเป็นการติดเชื้อใน กทม. ซึ่งก็เป็นผลมาจากการที่ไม่มีอุปกรณ์ป้องกันตัวเองที่ดีและเพียงพอ แล้วหากมีผู้ติดเชื้อหรือมีการแพร่ระบาดตามอาคารใหญ่ๆใน กทม.อีก ก็ยิ่งเสียหายมากกว่านี้.
จากกรณี คณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ (กกร.) กระทรวงพาณิชย์ ออกประกาศกำหนดราคาจำหน่ายหน้ากากอนามัยทางการแพทย์ (Surgical Mask) ที่ผลิตภายในประเทศ ไม่เกินชิ้นละ 2.50 บาท ตั้งแต่เมื่อวันที่ 6 มี.ค.ที่ผ่านมา
วันนี้ (11 มี.ค.) ผู้ประกอบการอาคารสำนักงานให้เช่ารายหนึ่ง ย่านสุขุมวิท (ไม่ประสงค์ออกนาม) กล่าวแสดงความไม่เห็นด้วยกับมาตรการดังกล่าว โดยระบุว่า เป็นนโยบายที่สร้างปัญหาให้กับผู้ประกอบการอาคารสำนักงาน รวมทั้งผู้ประกอบการเจ้าของสถานที่ที่มีผู้คนมาติดต่อ หรือสัญจรไปมาจำนวนมากเป็นอย่างมาก เพราะผู้ประกอบการที่เป็นเจ้าของและผู้ประกอบการสถานที่แต่ละแห่ง ก็ต้องการที่จะวางมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรน่า 2019 หรือโรคโควิด-19 ในสถานที่ตัวเองดูแล แต่ก็ไม่สามารถจัดหาหน้ากากอนามัยในราคาที่ กกร.กำหนดมาให้บริการผู้ที่เข้ามาใช้บริการหรือผู้ติดต่อภายในอาคารของเราได้ ขณะเดียวกันหน้ากากอนามัยที่จัดหาได้มาก็ราคาสูงกว่าที่ กกร.กำหนด ไม่สามารถจำหน่ายได้อีก เพราะระวางโทษไว้ค่อนข้างรุนแรง
“ก่อนหน้านี้ผมพยายามหาซื้อหน้ากากอนามัย เพื่อวางมาตรการป้องกันในอาคารของผม แต่ก็ไม่สามารถหาราคาต้นทุนที่ 2.50 บาทต่อชิ้นได้เลย ที่ได้มาส่วนใหญ่ราคาตกที่ 15 บาทต่อชิ้น ก็ยอมนำมาขายต่อให้คนในตึกในราคาต่ำกว่าทุนถึงเกือบครึ่งราคา เพราะรู้ว่าทุกคนมีความจำเป็นต้องใช้ และต้องการป้องกันตัวเองจากโรคระบาด อีกทั้งเราก็ไม่อยากให้เกิดการแพร่ระบาดในตึกที่เราดูแลด้วย แต่หลังกระทรวงพาณิชย์กำหนดราคาขาย 2.50 บาทต่อชิ้น ก็เลยจำเป็นต้องงดจำหน่าย เนื่องจากมีความผิดตามกฎหมาย และบทลงโทษแรง จะให้ขาย 2.50 บาทต่อชิ้น หรือแจกฟรี ก็คงไม่ไหว เพราะต้นทุนมาแพงกว่าหลายเท่าตัว ระหว่างนี้จึงเน้นการให้บริการเจลและแอลกอฮอล์ล้างมือให้มากขึ้น” ผู้ประกอบการรายดังกล่าว ระบุ
ผู้ประกอบการรายดังกล่าว กล่าวด้วยว่า มาตรการกำหนดราคาขายหน้ากากอนามัยของกระทรวงพาณิชย์ เป็นการแก้ไขปัญหาที่ไม่ตรงจุด และมีผลทำให้หน้ากากอนามัยที่มีความจำเป็นอย่างมากในสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 ยิ่งขาดแคลนมากกว่าเดิม เพราะไม่เพียงประชาชนทั่วไปจะไม่สามารถหาซื้อได้ในราคาที่ กกร.กำหนดไว้ได้ ยังทำให้ราคาที่จำหน่ายสูงขึ้นอีก ต้องไม่ลืมว่าในภาวะปกติหน้ากากอนามัยทางการแพทย์ที่จำหน่ายในร้านสะดวกซื้อทั่วไปก็ตกอยู่ชิ้นละ 8-10 บาทอยู่แล้ว เมื่อกดราคาลงไปต่ำกว่าที่ควรจะเป็น ก็ทำให้ผู้จำหน่ายที่มีสต๊อกอยู่ไม่นำสินค้าออกมาขาย และเลือกที่จะไปจำหน่ายในตลาดออนไลน์ หรือตลาดมืดที่ได้ราคามากกว่า เท่าที่ทราบส่วนใหญ่ก็ไม่ต่ำกว่า 14-15 บาทต่อชิ้น จนกลายเป็นขบวนการกักตุนและปั่นราคาหน้ากากอนามัย ที่กำลังเป็นข่าวในขณะพนี้ จึงอยากให้รัฐบาลเร่งทบทวนมาตรการกำหนดราคาจำหน่าย หากยังคงนโยบายเดิมก็ต้องออกมาตรการป้องกันการกักตุน หรือการจำหน่ายเกินราคา ให้ครบทุกมิติ ที่สำคัญควรคำนึงถึงการที่ประชาชนต้องใช้อุปกรณ์ป้องกันความปลอดภัยของตัวเองความทั่วถึงด้วย
“รัฐบาลต้องคิดเรื่องโอกาสในการเข้าถึงของประชาชน และการกระจายอุปกรณ์ป้องกันไวรัสให้เพียงพอทั่วถึง เพื่อระงับยับยั้งการระบาดของโรค หากปล่อยให้ขาดแคลน จนมีการระบาดของไวรัสในจุดใดจุดหนึ่งในประเทศ ย่อมส่งผลกระทบที่ประเมินมูลค่าไม่ได้ ยกตัวอย่างอาคารที่ผมดูแลอยู่ใจกลาง กทม. มีคนไปมาพลุ่งพล่าน หากเกิดการระบาดขึ้น ย่อมไม่เป็นผลดีต่อภาพลักษณ์ทั้งการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจของประเทศที่ย่ำแย่อยู่แล้วอย่างแน่นอน ทั้งๆที่เราก็มีความพร้อมในการดำเนินมาตรการต่างๆ โดยเฉพาะการจำหน่ายหน้ากากอนามัยราคาต่ำกว่าทุน แต่ก็ไม่สามารถทำได้ เพราะเกินราคาที่กำหนด” ผู้ประกอบการรายดังกล่าว ระบุ
ผู้ประกอบการรายดังกล่าว ยังได้ยกตัวอย่างกรณีเจ้าของร้านอาหารในอาคาร all season place ย่าน ถ.วิทยุ กทม. ได้รับการตรวจพบว่าติดเชื้อโควิด-19 ด้วยว่า มีกระแสข่าวมาซักระยะแล้วสำหรับผู้ติดเชื้อรายนี้ ก่อนที่มีการเสนอข่าวผ่านสื่อ ส่งผลให้อาคารดังกล่าวที่เคยมีผู้ใช้บริการจำนวนมาก เงียบเหงาจนแทบจะปิดตึก ธุรกิจที่ซบเซาอยู่แล้วก็ยิ่งแย่หนักกว่าเดิม จากการเปิดเผยของผู้ติดเชื้อก็ยืนยันว่ากลับมาจากประเทศสิงคโปร์ตั้งแต่ต้นเดือน ก.พ.ที่ผ่านมา และไม่ได้เดินทางไปไหนอีก คาดว่าจะเป็นการติดเชื้อใน กทม. ซึ่งก็เป็นผลมาจากการที่ไม่มีอุปกรณ์ป้องกันตัวเองที่ดีและเพียงพอ แล้วหากมีผู้ติดเชื้อหรือมีการแพร่ระบาดตามอาคารใหญ่ๆใน กทม.อีก ก็ยิ่งเสียหายมากกว่านี้.