แฟลชม็อบน่ากลัว “สุวินัย” แฉส่วนผสม 14 ตุลา-6 ตุลา และฮ่องกงโมเดล และมีศาสดา “สศจ.” ล้างสมองหมิ่นเหม่ ม.112 “ทยา” เตือนบางคนดึงฟ้าต่ำ! “สมชาย” เผยแผน 3 เด้ง “ธ ป ช” ยั่วให้จับกุมปราบปราม แล้วให้ต่างชาติแทรกแซง จนรัฐบาลอยู่ไม่ได้
น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง วันนี้ (27 ก.พ. 63) เฟซบุ๊ก Suvinai Pornavalai ของ รศ.ดร.สุวินัย ภรณวลัย อดีตอาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์ข้อความหัวข้อ “หนุ่มน้อยผมยาวที่ ม.ศ.ว.เมื่อวาน”
โดยระบุว่า “เขาพูดหมิ่นเหม่ ม.112 มาก ที่สำคัญนักศึกษาหลายร้อยคนที่ร่วมชุมนุมปรบมือเห็นด้วย เห็นได้ชัดว่าเขาได้รับอิทธิพลทางความคิดมาจาก สศจ. ที่ลี้ภัยอยู่ที่ฝรั่งเศส (เจ้าตัวสารภาพเองผ่านไมค์) และคิดแบบเดียวกับสิ่งที่ ธนาธร-ปิยบุตร-ช่อ คิดในใจ
สิ่งที่หนุ่มน้อยผมยาวคนนี้พูด แทบไม่ต่างจากธนาธรในหนังสือ “Portrait ธนาธร” ที่รวมบทสัมภาษณ์ธนาธร ปี 2561 เลย ตรงนี้แหละที่ทำให้การเคลื่อนไหวประท้วงรัฐบาลของคนรุ่นใหม่หลังจากนี้ มีส่วนผสมของ 14 ตุลาโมเดล, 6 ตุลาโมเดล และฮ่องกงโมเดล ผสมผสานกัน
จุดจบของการเคลื่อนไหวครั้งนี้ ผมมองในแง่ร้ายนะ เพราะแนวทางความคิดที่พวกเขายกชูขึ้นมาต่อสู้กับอำนาจรัฐ มันสะท้อนความเชื่อของพวกเขา มากกว่าความจริงที่คนจำนวนมากที่เป็นผู้ใหญ่และสูงวัยแล้ว เข้าใจตรงกัน
การชุมนุมของคนรุ่นใหม่ตามมหาลัยต่างๆ ผมมองว่าจุดติดแล้วแบบไฟลามทุ่ง ซึ่งคล้ายไฟไหม้กองฟาง
แต่น่าห่วงที่มันจุดติดตอนที่ภัยจากไวรัสโควิด-19 มาที่ประเทศไทยพอดี
ขณะเดียวกัน แม้ไม่ได้นัดหมาย แต่เฟซบุ๊ก Taya Teepsuwan ของนางทยา ทีปสุวรรณ อดีตรองผู้ว่าฯ กทม. ภรรยา นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) รมว.ศึกษาธิการ โพสต์หัวข้อ “อย่าดึงฟ้าต่ำ”
เนื้อหาระบุว่า “อยากจะบอกน้องๆ นักศึกษาว่าการแสดงออกทางความคิดเห็นทางการเมืองเป็นสิทธิเสรีภาพที่พึงกระทำ แต่สำหรับน้องบางคนที่แสดงออกอย่างเกินขอบเขต จะด้วยมาจากความคิดของตนเอง หรือได้รับข้อมูลจากเพียงด้านเดียว หรือ มีคนสั่งให้ทำก็ตามที
ขอให้น้องๆ กลับไปคิดเถอะว่า เราเกิดมาบนผืนแผ่นดินไทย เราควรสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณที่บรรพบุรุษของเราได้ปกปักรักษาแผ่นดินนี้มาหลายชั่วคน และทุกวันนี้เราอยู่ในประเทศที่เป็นประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข การแสดงออกที่เกินขอบเขตเช่นนี้ มันสมควรหรือไม่?
การเมือง คือ การเมือง เราเห็นต่างได้ รัฐบาล คือ รัฐบาล เราไม่พอใจได้ เราวิจารณ์ได้ แต่สถาบันพระมหากษัตริย์ คือ เสาหลักที่ยึดโยงจิตใจคนไทยมานานแสนนาน...อย่าฟังแต่การปลุกระดม อย่าตกเป็นเครื่องมือทางการเมือง เพียงเพื่อจะสร้างความแตกแยก จนดึงฟ้าต่ำเช่นนี้เลยค่ะ”
เนื้อๆ เน้นๆ แต่เข้าใจทันทีว่า สิ่งที่น่าเป็นห่วงกับน้องนักศึกษา ที่ไม่ทันเล่ห์กลทางการเมืองของพวกซ้ายอกหักและตกขอบคืออะไร
ที่น่าสนใจไปกว่านั้น ยังมีเฟซบุ๊ก “สมชาย แสวงการ” ของนายสมชาย แสวงการ สมาชิกวุฒิสภา โพสต์หัวข้อ “#รักชาติต้องรู้ทันเกมพวกเสี้ยม เตือนลูกหลานอย่าหลงตาม”
โดยระบุว่า “Cr ข้อมูลลับจากกูรูข่าวกรอง
@ คงไม่ต้องแปลกใจว่า ทำไม ธ. ป. และ ช. จึงกล้าเปิดหน้าท้าทายปลุกกระแสนิสิตนักศึกษา หรือการเปิดอภิปรายนอกสภา แบบไม่สนคดี ทั้งๆ ที่ไม่มีเอกสิทธิ์ ส.ส.คุ้มครองแล้ว
: จุดมุ่งหมายของพวกเขามีอะไรซ่อนอยู่ ถึง 3 เด้ง คือ
1. ต้องการให้มีการฟ้องและจับกุมดำเนินคดี เพื่อป่าวประกาศให้สาวกและกลุ่มนิสิตนักศึกษาออกมาชุมนุมเรียกร้องลงสู่ถนน สร้างความวุ่นวายกลายเป็น “ฮ่องกงโมเดล”
2. ยั่วยุให้มีการใช้กำลังปราบ จนกลายเป็นเป้าให้ต่างชาติถล่มโจมตี จนอาจทำให้รัฐบาลต้องลาออก
3. หากการเดินเกมตาม 1 และ 2 ไม่ประสบความสำเร็จ แกนนำเหล่านั้นจะได้ขอลี้ภัยไปยังประเทศที่เสี้ยมอยู่เบื้องหลังที่ได้ตกปากรับคำกันไว้ก่อนแล้ว”
แน่นอน, โพสต์ของทั้ง ดร.สุวินัย, ทยา และสมชาย สื่อไปในทิศทางเดียวกัน คือ แฟลชม็อบของนิสิต-นักศึกษา ที่หลายคนแม้แต่รัฐบาล อาจดูเบา ว่า ไม่น่าจะมีอะไรรุนแรง หรือ รัฐบาลน่าจะเอาอยู่ แต่ความจริง มีการจัดตั้ง และวางแผนรองรับเอาไว้หมดแล้ว (อาจวางแผนเอาไว้ก่อนนานแล้วก็เป็นได้ ถ้าสังเกตจากการท้าทายกฎหมายของอดีตแกนนำอนาคตใหม่) ที่สำคัญ ครั้งนี้อาจแยบยลกว่าทุกครั้ง เพราะถือว่าได้ใช้เหตุการณ์ 14 ตุลา, 6 ตุลา และม็อบฮ่องกง เป็นบทเรียนความผิดพลาด (ถ้าว่าตามข้อมูลของท่านเหล่านี้)
แปลกใจหรือไม่ว่า ถ้าเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ แฟลชม็อบของ นิสิต-นักศึกษา-นักเรียน (บางแห่ง) จะเกิดขึ้นอย่างพร้อมเพรียงเช่นนี้หรือไม่
ที่สำคัญ คือ ธาตุแท้ของคนที่อ้างตนเป็น “นักประชาธิปไตย” แต่สุดท้ายก็หนีไม่พ้น อาศัยพลังบริสุทธิ์เป็นเครื่องมือทางการเมือง เสียเลือดเสียเนื้อแทนตัวเอง ซึ่งไม่เคยมีผู้นำ หรือผู้ก่อการยุคไหน ตายในเหตุการณ์เลยแม้แต่น้อย คนไทยลองตรองดู!!!