ส.ส.มหาสารคาม ประเดิมซักฟอกนายกฯ แฉพฤติกรรมพัวพันเจ้าสัว ขายที่ดินเป็นบ่อปลาให้บ.ฟอกเงินราคาแพงเกินจริง แลกประโยชน์งาบ 2 โครงการใหญ่ ปล่อยเช่าศูนย์ สิริกิติ์50 ปี -สัมปทานรถไฟฟ้าสายเขียวเหนือ-ใต้ ประท้วงวุ่นไม่ยอมเรียกยศ
วันนี้ (24ก.พ.) นายยุทธพงษ์ จรัสเสถียร ส.ส.มหาสารคาม พรรคเพื่อไทย กล่าวอภิปรายไม่ไว้วางใจพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม เหตุมีพฤติกรรมร่ำรวยผิดปกติอย่างต่อนเนื่องตั้งแต่ 24 สค.57 ถึง9 มิ.ย.62 เป็นระยะเวลา6 ปี แต่ พรป.ปปช.บอกไม่ต้องแสดงบัญชีทรัพย์สิน แต่จากการตรวจสอบรายการที่ยื่นบัญชีหนี้สินและหนี้สินเมื่อวันที่4 ก.ย.57 พบว่ามีการร่ำรวยผิดปกติคือรายจ่ายไม่สัมพันธ์กับทรัพย์สินที่เป็นรายรับคือ มีรายรับ 128 ล. แต่รายจ่าย466ล้าน ซึ่งเป็นเงินที่มาจากการฟอกเงินหรือพัวพันกับใครหรือไม่ ขัดกันระหว่างผลประโยชน์ส่วนบุคคลกับประโยชน์ส่วนร่วมตามธรรมาภิบาลหรือไม่ ทำไมไม่สัมพันธ์กัน
นายยุทธพงษ์ยังได้อภิปรายถึงการซื้อขายที่ดินของพ.อ.ประพัฒน์ จันทร์โอชา ผู้เป็นบิดา จำนวน 50 ไร่ 3งาน 8 ตรว. ที่เขตบางบอน ให้กับบริษัท69 พร้อพเพอตี้ ราคา 600 ล้านบาท จากการตรวจสอบพบว่าบริษัทที่รับซื้อเพิ่งตั้งบริษัทก่อนที่จะมีการทำธุรกรรมซื้อขายเพียง7วัน โดยต่อมาพ.อ.ประพัฒน์ได้มอบเงิน540ล้านให้พล.อ.ประยุทธ์และพี่น้องด้วยความเสน่หา แต่ที่ตนกังขาคือสภาพที่ดินเป็นบ่อตกปลา ทำไมซื้อขายราคาสูง ตั้งข้อสังเกตุการทำธุรกรรมซื้อขายทั้งนี้เป็นเงินบริสุทธ์หรือฟอกเงิน เพราะจากตรวจสอบพบว่าบริษัทที่ซื้อมีสภาพเป็นทาวน์เฮ้า
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ระหว่างการอภิปรายนายยุทธพงษ์ได้เรียกสรรพนามพล.อ.ประยุทธ์ว่า คุณประยุทธ และนายประยุทธ ในบางครั้ง ให้ส.ส.ฝ่ายรัฐบาลหลายคนประท้วงขอให้ประธานสั่งให้เรียกพล.อ.ประยุทธ์ เพราะเป็นยศที่ได้มาจากการโปรดเกล้า แต่นายชวนวินิจฉัยว่าตามข้อบังคับการประชุมระบุห้ามไม่ให้สมาชิกกล่าววาจาส่อเสียด หยาบคาย แต่นายยุทธพงษ์เรียกว่าคุณ ก็ถือเป็นเรื่องมารยาท นิสัย วุฒิภาวะของแต่ละบุคคล ซึ่งประชาชนจะรู้เองว่าเหมาะสมหรือไม่ ตนไปบังคับไม่ได้
น.ส.ปารีณา ไกรคุปต์ ส.ส.ราชบุรี พรรคพลังประชารัฐ ลุกขึ้นประท้วง โดยเรียกประธานสภาว่า คุณชวน หลีกภัย ขอให้วินิจฉัยใหม่ เพราะเรื่องควาเมหมาะสมสามารถควบคุมได้ หากมีการเรียกประธานว่าคุณชวน หลีกภัยก็สามารถควบคุมได้เช่นกัน แต่นายชวนกล่าวว่า ถ้าไม่เรียกไอ้ก็ใช้ได้ครับ ต้องเข้าใจว่าภาษาไทยก็ไม่เมหาะสม แต่จะบอกว่าคำนี้ไม่สุภาพให้พูดคำอื่นก็ไม่ได้ แต่ก็ขอให้นายยุทธพงษ์พยายามพูดสรุปในประเด็น
นายยุทธพงศ์อภิปรายต่อว่า เป็นธุรกรรมที่สงสัยว่าบริษัท69 พร้อพเพอตี้ เอาเงินจากไหน600ล้านมาซื้อ โดยเงินมาอยู่ในบัญชีพล.อ.ประยุทธ์ที่ได้แจ้งบัญชีทรัพย์สิน ซึ่งพล.อ.ประยุทธ์ต้องบอกว่าไปคุยกับใครให้มาซื้อที่ คุยที่ไหน เพราะต้องมีการพาไปดูที่ดินก่อนซื้อ และตอนนี้บิดาพล.อ.ประยุทธ์มีอายุ90 ปี จะพาไปดูเองนั้นตนไม่เชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ต้องเป็นคนเจรจา และถ้าไม่อยากเครียดก็ต้องสารภาพมาอย่างชายชาติทหารลูกผู้ชายว่าไปคุยกับเจ้าสัวเจริญ
นายชวนได้สั่งให้ถอนคำพูด ไม่เหมาะสม สามารถอภิปรายได้แต่ไม่สามารถคาดคั้นให้เป็นอย่างนั้นอย่างนี้และไม่สามารถว่าบุคคลอื่นได้ ต้องว่าตามข้อเท็จจริงเท่านั้น
นายยุทธพงษ์กล่าวว่าตั้งแต่มีข่าวออกไปเจ้าสัวเจริญก็ไม่เคยออกมาปฏิเสธ นายชวนกล่าวเตือนไม่ให้กล่าวพาดพิงถึงบุคคลภายนอก แต่นายยุทธพงษ์กล่าวว่าตนขอรับผิดชอบเอง มั่นใจว่าไม่ถูกฟ้องเพราะเป็นญาติกับทางภรรยาตน พร้อมกับกล่าวต่อว่า ประเทศนี้ต้องมีธรรมาภิบาลตรวจสอบได้ เมื่อนักข่าวนำประเด็นนี้ไปซักถามก็ไม่ได้รับคำตอบ โยนให้ไปถามบริษัท ทำให้น่าเคลือบแคลงยิ่งขึ้น และสถานะของบริษัทเอาเงินที่ไหนมาซื้อ ต้องมาจากต่างประเทศ จากที่ตรวจสอบสภาพไม่เชื่อว่ามีเงินจริง เพราะแจ้งวัตถุประสงค์ขอเปิดบริษัทเพื่อประกอบกิจการเพาะพันธุ์ไม้ยืนต้นจำหน่าย จากที่ดูเส้นทางการเงิน ทางการเงินว่า บ.69 พร็อพเพอร์ตี้ เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ในบ.ทรงวุฒิ บิสซิเนส ที่ต่อมาได้โอนหุ้นจำนวน 49,000 หุ้น ไปให้ บ.วินเทค โปรฟิท คอมปะนี ลิมิเต็ด ไทรเด้นท์ ทรัส (บี.วี.ไอ.) ลิมิเต็ด ไทรเด้นท์ แซมเบอร์ ซึ่งมีที่อยู่เป็นตู้ ป.ณ. เลขที่ 146, โรดทาวน์,ทอร์โทล่า, บริติชเวอร์จิน ไอร์แลนด์ และเป็นที่อยู่เดียวกันกับบริษัท TCC Group International Limited ที่เป็นบริษัทที่เพิ่มทุนให้กับ บ. 69 พร็อบเพอร์ตี้ เพื่อไปซื้อที่ดินของ พล.อ.ประยุทธ์และตนได้เดินทางไปตรวจสอบที่เกาะบริทติสเวอร์จิ้น มีทุนจดทะเบียน5 หมื่นเหรียญ หุ้นทุนแค่1 เหรียญ ประมาณ1.5 ล้านบาทเท่านั้น
“ผมจึงสงสัยว่าเงินที่รับมาไม่ปกติ ทำให้มีพฤติกรรมร่ำรวยผิดปกติ ในฐานะนายกฯอาจจะสร้างธรรมาภิบาล และเป็นบุคคลสาธารณะตรวจสอบได้ เมื่อถูกกล่าวหาว่ามีพฤติการร่ำรวยผิดปกติ และเงินส่วนหนึ่งเกี่ยวข้องกับบริษัทในหมู่เกาะบริทติสเวอร์จิ้นที่มีความซับซ้อนซ่อนเงื่อน จึงไม่อาจไว้วางใจได้”
นายยุทธพงษ์กล่าวต่อว่าจขากปัญหาดังกล่าวได้นำไปสู่เรื่องการต่อสัญญาศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ อภิมหาค่าโง่ต่อสัญญาถึง 50 ปี จำนวน 6,000 ล้านบาท คุณประยุทธ์ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่หรือปฏิบัติหน้าที่มิชอบ ไม่ควบคุมกระทรวงการคลังให้ทำตามมติ ครม.เมื่อ 17 ม.ค.60 ถือเป็นมติ ครม.ที่ฉ้อฉล หลอกลวง โดย รมช.คลัง (นายวิสุทธิ์ ศรีสุพรรณ) ชี้แจงเพิ่มเติมว่ากรมธนารักษ์ได้ยืนยันว่าการดำเนินโครงการศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ถือเป็นการดำเนินโครงการเดิมตามนัย พ.ร.บ.การให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ.2556 เนื่องจากเป็นการดำเนินการตามเจตนารมณ์และวัตถุประสงค์เดิมที่ ครม.ได้เคยอนุมัติไว้ ต่อมา ครม.พล.อ.ประยุทธ์พิจารณาแล้วลงมติว่า 1.เห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ตามความเห็นของเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา และข้อชี้แจงเพิ่มเติมของ รมช.คลัง 2.ให้กระทรวงการคลังนำข้อสังเกตของสำนักงานอัยการสูงสุด ไปพิจารณาดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป รวมทั้งให้นำสัญญาแก้ไขเพิ่มเติมสัญญาการบริหารและดำเนินกิจการศูนย์ฯ ส่งให้สำนักงานอัยการสูงสุดพิจารณาให้ความเห็นชอบก่อนที่จะมีการลงนามต่อไปด้วย
นายยุทธพงศ์ อภิปรายว่า อัยการสูงสุดแจ้งข้อสังเกตทักท้วงถึง 2 ครั้งเกี่ยวกับประเด็นปัญหา ว่าจะถือว่าเป็นโครงการใหม่ตามนัยแห่ง พ.ร.บ.การให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ.2556 หรือไม่ แต่กรมธนารักษ์มิได้ดำเนินการตามข้อสังเกตของสำนักงานอัยการสูงสุดแต่อย่างใด ถือได้ว่าเป็นการไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย ไม่เปิดให้มีการแข่งขันอย่างเป็นธรรม เอื้อกลุ่มทุนเดิมๆ หรือไม่ ทำไมเจ้าสัวถึงอยากได้ที่ตรงนี้ เพราะจะมีการสร้าง New CBD Bangkok ซึ่งต้องได้พื้นที่บริเวณดังกล่าว ถือว่ามีการล็อกสเปกให้บริษัทเจ้าสัวหรือไม่ คุณประยุทธ์ไม่ซื่อสัตย์สุจริตหรือไม่ ไม่รอบคอบปล่อยให้ประเทศเสียประโยชน์ ไม่ฟังคำทักท้วงของอัยการสูงสุด ถือเป็นการละเมิดหลักนิติธรรม มีเจตนาพิเศษในการะเมิดกฎหมาย โดยไม่สนใจข้อทักท้วงของหน่วยงานรัฐ เพราะคุณประยุทธ์มีความพัวพันกับเจ้าสัว ถือเป็นตราบาปในแผ่นดิน ไม่คำนึงถึงประโยชน์ของรัฐ ไม่คำนึงถึงระเบียบของราชการ และตนจะนำเรื่องนี้ไปกล่าวโทษคุณประยุทธ์ทางกฎหมายต่อไป
นายยุทธพงศ์ อภิปรายต่อถึงประเด็นการขยายสัญญาสัมปทานรถไฟฟ้าสายสีเขียวอีก 40 ปี ที่พล.อ.ประยุทธ์ใช้อำนาจขัด พ.ร.บ.ร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน พ.ศ.2562 ทั้งนี้ ส่วนต่อขยายสายสีเขียวด้านเหนือและด้านใต้ รฟม.มีเงินลงทุน 8 หมื่นล้านบาท จากนั้นรัฐบาลให้โอนมาให้ กทม. เรื่องนี้มีการฮั้วประมูลเพราะพัวพันเจ้าสัว เรื่องนี้ไม่เข้า พ.ร.บ.ร่วมทุนฯ ของเดิมเป็นสัญญาเดียว ขณะที่ส่วนต่อขยายเขียวเหนือและเขียวใต้ กทม.ไปจ้าง บ.บีทีเอสเดินรถ จากนั้นมีการออก ม.44 รวมสัญญาสายเขียวเหนือและเขียวใต้กับบีทีเอสเป็นสัญญาเดียว ถามว่าทำแบบนี้ทำไม เท่ากับออกกฎหมายฉ้อฉล หรือมีใครไปบอกให้ออกเป็น ม.44 ถือว่าเป็นโมฆะบุรุษ ไม่อาจปล่อยให้บริหารประเทศอีกต่อไป