“หมอระวี” เสนอ “ฝ่ายค้าน-รัฐบาล” ร่วมแก้วิกฤตพ.ร.บ.งบฯ 63 กรณีส.ส.เสียบบัตรแทนกัน ที่ซ้ำเติมปัญหาเศรษฐกิจปากท้องประชาชน อย่ามัวแต่เล่นเกมการเมือง แนะส.ส.ทำผิดออกมารับผิด
น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง วันนี้(25 ม.ค.63) เฟซบุ๊ก หมอระวี มาศฉมาดล ของ นพ.ระวี มาศฉมาดล ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังธรรมใหม่ โพสต์ข้อความถึงปัญหา ส.ส.เสียบบัตรแทนกันระหว่างการพิจารณาร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 63
โดยระบุว่า “ผมขอแสดงความคิดเห็นในกรณีส.ส เสียบบัตรแทนกันในการโหวต พ.ร.บ.งบประมาณฯ ซึ่งขณะนี้ส่งผลกระทบต่อพ.ร.บ.งบประมาณไม่สามารถเดินหน้าต่อไปได้ รวมถึงอาจจะเป็นโมฆะได้ ส่งผลเสียต่อเศรษฐกิจของประเทศพอสมควร กระทบต่อปากท้องประชาชนไม่มากก็น้อย
ผมขอเรียกร้องให้คนกระทำผิด ไม่ว่าคนที่ให้คนอื่นลงคะแนนให้ และคนที่ลงคะแนนแทนเพื่อน ควรออกมาแสดงตัวยอมรับการทำผิด และพร้อมจะแสดงการรับผิดชอบ ที่จะรับผิดตามกฎหมาย สมกับเป็นส.ส.ผู้ทรงเกียรติ
ในขณะนี้ ทางสภาฯ ได้ส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญ วินิจฉัยแล้ว ไม่ว่าผลการวินิจฉัยจะออกมาอย่างไร ผมขอเรียกร้องให้ ส.ส.ทั้งฝ่ายค้านและฝ่ายรัฐบาล ช่วยกันแก้วิกฤต พ.ร.บ.งบประมาณฯในครั้งนี้ อย่ามัวแต่เล่นเกมกันและขอให้นึกถึงปัญหาปากท้องของประชาชนที่จะได้รับผลกระทบ จากการล่าช้า โครงการใช้งบประมาณ โดยเฉพาะหมวดเงินลงทุนที่จะไปกระตุ้นเศรษฐกิจ
ถ้าศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า เป็นเพียงความคิด ของบุคคล พ.ร.บ.งบประมาณไม่เป็นโมฆะ การแก้ปัญหาก็อาจจะแก้ไขได้ไม่ยากและรวดเร็ว แต่ถ้าศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า โมฆะ รัฐบาลก็ยังสามารถจะแก้ไขได้ โดยรัฐบาลเสนอร่าง พ.ร.บ.นี้เข้าสภาใหม่ และส.ส ทั้งสภา ร่วมกันแก้ไขวิกฤตในครั้งนี้ โดยร่วมกันพิจารณาพ.ร.บ.งบประมาณให้เสร็จวาระ 1 ภายในวันเดียว แล้วตั้งกรรมาธิการงบประมาณใหม่ จากนั้น กรรมาธิการ เร่งสรุปร่างพ.ร.บ.งบให้เสร็จใน 7 วัน จากนั้นนำเสนอวาระ 2 และ 3 ในสภาให้จบได้ใน 1 วัน จากนั้นสภาก็นำร่างพ.ร.บ.ส่งวุฒิสมาชิกได้ต่อไป ผมคาดว่าใช้เวลาประมาณ 1 เดือน ก็น่าจะจบได้ แต่จะทำได้ต้องอาศัยการร่วมแรงร่วมใจของส.ส.ทั้งสภาฯ
ตามข่าวมีคนเสนอว่า ถ้าศาลรัฐธรรมนูญ ตัดสินเป็นโมฆะ ให้รัฐบาลออก พ.ร.ก.งบประมาณใหม่เข้าสภาฯ จัดการแบบม้วนเดียวจบ แม้ว่าวิธีการนี้จะทำได้ แต่ในส่วนตัวผมไม่เห็นด้วย ยกเว้นเป็นทางออกสุดท้ายที่จำเป็นจริงๆ ถ้ามีวิธีการอื่น รัฐบาลควรเลือกทางออกอื่นจะดีกว่า”
อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย เนื่องจากคนที่ทำผิด เป็นผู้ทรงคุณวุฒิในสภาฯ(ส.ส.) ดังนั้น นอกจากเรื่องจะถูกส่งไปยังศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยแล้ว ความผิด ก็ยังเกี่ยวข้องกับกฎหมายป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.)ด้วย
โดย เมื่อวันที่ 25 ม.ค.63 นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย กล่าวถึงกรณีส.ส.เสียบัตรแทนกันว่า ส.ส. ซึ่งไม่อยู่ที่ประชุมพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 แต่ปรากฏว่ามีชื่อเป็นผู้ลงคะแนนเห็นชอบร่างกฎหมายดังกล่าวตามที่ นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ รองหัวหน้าพรรค และอดีต ส.ส.พัทลุง พรรคประชาธิปัตย์ นำมาเปิดเผยต่อสาธารณชน
จนกระทั่งนำไปสู่การใช้สิทธิตาม ม.148 (1) ของรัฐธรรมนูญ 2560 โดยการเข้าชื่อกันของ ส.ส. 1 ใน 10 ของสภาฯ ในการเสนอความเห็นต่อประธานสภาผู้แทนราษฎร เพื่อส่งไปยังศาลรัฐธรรมนูญให้วินิจฉัยว่าร่างกฎหมายดังกล่าวตราขึ้นโดยไม่ถูกต้องตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญหรือไม่นั้น
เนื่องจากต้นเหตุของปัญหาเกิดจากกรณี นายฉลอง เทอดวีระพงศ์ ส.ส.พัทลุง พรรคภูมิใจไทย ที่เดินทางไปร่วมกิจกรรมวันเด็กที่ จ.พัทลุง ในวันที่มีการลงคะแนนเห็นชอบร่างกฎหมายดังกล่าว และนางนาที รัชกิจประการ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคภูมิใจไทย ก็ปรากฏภาพถ่ายอยู่ที่ประเทศจีน แต่บุคคลทั้ง 2 กลับมีชื่อร่วมลงมติในที่ประชุมสภาฯ เมื่อวันที่ 11 ม.ค. ที่ผ่านมาด้วย นอกจากนั้นยังมีพฤติการณ์เสียบบัตรลงคะแนนแทนกันของ ส.ส.พรรคพลังประชารัฐ ตามที่สื่อมวลชนหลายแขนงได้นำหลักฐานภาพถ่ายการเสียบบัตรแทนกันมารายงานอีกด้วย
ทั้งนี้ พฤติการณ์และการกระทำดังกล่าว จึงอาจเข้าข่ายการขัดกันแห่งผลประโยชน์ ตามรัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 185 อันถือได้ว่า เป็นการก้าวก่ายหรือแทรกแซงเพื่อประโยชน์ของตนเองหรือของผู้อื่น และอาจเข้าข่ายทุจริตต่อหน้าที่ตาม พ.ร.ป.ป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561
และเข้าข่ายการฝ่าฝืนมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง ในข้อ 7 และข้อ 8 ในประเด็นที่ต้องถือผลประโยชน์ของประเทศชาติเหนือกว่าประโยชน์ส่วนตน และต้องไม่มีพฤติการณ์ที่รู้เห็นหรือยินยอมให้ผู้อื่นใช้ตําแหน่งหน้าที่ของตนแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบ ฯลฯ ซึ่งหาก ป.ป.ช. วินิจฉัยว่า มีความผิดตามข้อห้ามข้างต้น ก็อาจนำไปสู่การสิ้นสุดลงของตำแหน่ง ส.ส. ตามมาตรา 101 (7) ของรัฐธรรมนูญ 2560 ได้
อย่างไรก็ตาม ทางสมาคมฯ จะนำความไปร้องเรียนต่อ ป.ป.ช. เพื่อให้ดำเนินการไต่สวน สอบสวน และเอาผิด ส.ส. ดังกล่าว หากพบความผิดตามครรลองของกฎหมายต่อไป โดยจะเดินทางไปยื่นคำร้องในวันจันทร์ที่ 27 ม.ค. 63 เวลา 10.30 น. ณ สำนักงาน ป.ป.ช. ถนนสนามบินน้ำ นนทบุรี
สอดรับกับ พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ ประธานกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ก็กล่าวถึงเรื่องดังกล่าวว่า ประเด็นนี้ยังไม่ได้มีการร้องเรียนเข้ามา ดังนั้นต้องรอให้มีการร้องเรียนเข้ามาก่อน จึงจะดำเนินการไต่สวนได้
อย่างไรก็ตาม ป.ป.ช.สามารถ ยกเหตุอันควรสงสัยเข้าไปไต่สวนเองได้ แต่ประเด็นนี้ปรากฏข้อเท็จจริงเบื้องต้นผ่านทางสื่อมวลชนเท่านั้น เบื้องต้นสำนักงาน ป.ป.ช. มีการเฝ้าติดตามข้อเท็จจริงต่าง ๆ ที่ปรากฏผ่านสื่ออยู่ตลอด จึงต้องรอข้อเท็จจริงปรากฏให้ครบถ้วนเสียก่อน
ทั้งนี้ เมื่อถามว่า หากเทียบกับกรณีของ นายนริศร ทองธิราช อดีต ส.ส.สกลนคร พรรคเพื่อไทย ที่ ป.ป.ช. เคยชี้มูลความผิดในกรณีนี้ไปก่อนหน้านี้ พล.ต.อ.วัชรพล กล่าวว่า คดี นายนริศร ยังเหลือการไต่สวนในทางอาญาอยู่ แต่อย่างไรก็ดีการเสียบบัตรแทนกันระหว่างกรณีนายนริศร กับที่เกิดขึ้นในปัจจุบันนั้น ไม่อาจเทียบกันได้ แม้จะเกิดเหตุการณ์คล้ายกัน แต่ข้อเท็จจริงอาจต่างกันก็ได้ เพราะฉะนั้นต้องรอผลสรุปเบื้องต้นเสียก่อน จึงจะดำเนินการอะไรต่อไปได้
ด้านพรรคอนาคตใหม่ ซึ่งเป็นซีกฝ่ายค้าน เมื่อวันที่ 24 ม.ค.63 นายชำนาญ จันทร์เรือง รองหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ กล่าวถึงกรณีส.ส.ฝ่ายรัฐบาล เสียบบัตรแทนกันในการประชุมสภาฯเพื่อโหวตร่าง พ.ร.บ. งบประมาณฯปี 63 ว่า เรื่องนี้เป็นไปได้ 3 แนวทางคือ
1.ร่างพ.ร.บ.เป็นโมฆะ เพราะเป็นส่วนในสาระสำคัญ ต้องตราขึ้นมาใหม่
2.รัฐบาลไม่สามารถจะออกพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) มาใช้ก่อนได้ เพราะตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 141 กำหนดให้งบประมาณรายจ่ายของแผ่นดินต้องทำเป็น พ.ร.บ. เท่านั้น เพราะจะต้องมีขั้นตอนและรายละเอียดการใช้จ่ายงบประมาณให้รัฐสภาให้ความเห็นชอบ
และ3.ไม่สามารถใช้รัฐธรรมนูญ มาตรา 143 ได้ เพราะมิใช่กรณีที่สภาผู้แทนราษฎรพิจารณาไม่เสร็จภายในระยะเวลา 105 วัน แต่พิจารณาเสร็จแล้วกลับมาโมฆะในภายหลัง
ผู้สื่อข่าวถามว่า หากศาลรัฐธรรมนูญชี้ขาดว่าร่างกฎหมายงบประมาณเป็นโมฆะ เพราะไม่ชอบตามรัฐธรรมนูญ ตามหลักนิติประเพณีแล้ว ทางรัฐบาลจะรับผิดชอบอย่างไร นายชำนาญ กล่าวว่า ตามนิติประเพณี คือ ลาออกหรือยุบสภา แต่ในเมื่อผู้ที่เสียบบัตรแทนกันเป็นส.ส.ฝ่ายรัฐบาล ก็ควรจะลาออก โดยในสัปดาห์หน้า ฝ่ายค้านจะยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจ ซึ่งหากยื่นแล้วรัฐบาลก็ไม่สามารถยุบสภาหนีได้ ตอนนี้ก็คงเหลือทางเดียวคือลาออกเท่านั้นเอง
ดังนั้น โพสต์ของ “หมอระวี” จึงนับว่าน่าสนใจ เพราะในเมื่อฝ่ายค้านรู้ว่า ครองเกมได้เหนือฝ่ายรัฐบาล เรื่องอะไรจะถอย หรือยอมให้ความร่วมมือฟันฝ่าวิกฤตพ.ร.บ.งบประมาณฯ63 ตามข้อเสนอ
เว้นเสียแต่พวกเขาจะเห็นแก่ “ประชาชน” อย่างแท้จริง มิใช่เพียงแค่ปากว่า อย่างที่เป็นอยู่ คนไทยจึงจะได้อานิสงส์จากนักเลือกตั้ง ไม่เชื่อคอยดู!!!