นายกฯ พร้อมยกระดับใช้ยาแรง แก้ PM 2.5 แต่หวั่นกระทบวงกว้าง ชี้ต้องวางมาตราการสั้น กลาง ยาว ทุกมิติ ดันเข้าคกก.สิ่งแวดล้อม 23 ม.ค.พร้อมแจงสถานการณ์ ต่อสังคมแบบรายวัน วอนกลุ่มคนตำหนิรบ.เปิดใจ ร่วมมือแก้ไขปัญหา
วันนี้ (21ม.ค.) เมื่อเวลา 14.00 น. วันที่ 21 มกราคม ที่มหาวิทยาลัยนราธิวาสราชนครินทร์ จ.นราธิวาส พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม กล่าวภายหลังเป็นประธานประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.)ถึงสถานการณ์ฝุ่นPM2.5ว่า เราต้องสร้างความเข้าใจร่วมกัน การที่จะบอกว่ารุนแรงหรือไม่นั้น ต้องมาดูหลักการและเหตุผล ว่ามาตรฐานที่กำหนด ทั้งของต่างประเทศ และหน่วยงานในบ้านเรา ต้องมีแผนแม่บทร่วมกัน ซึ่งอนุมัติในครม.ไปแล้ว ทั้งแผนเฉพาะหน้า ระยะสั้น ปานกลาง และระยะยาวในทุกมิติ ที่ต้องมาเข้มงวดดูว่าความเข้มของฝุ่นPM2.5นั้นมีระดับใด และพื้นที่ใดบ้าง ทั้งนี้จากข้อมูลปัจจุบัน ทราบแล้วว่ามาจากการจราจรมากที่สุด รองลงมาคือการเผา และอุตสาหกรรม
นายกฯ กล่าวต่อว่า เราต้องเข้าใจในข้อเท็จจริงเหล่านี้ จากมาตรการที่ออกมา หลายคนอยากให้ใช้ยาแรง ก็จะเกิดข้อขัดแย้ง ต้องยอมรับว่ารถบรรทุกในปัจจุบันไม่ได้เจาะจงว่าประเภทใดประเภทหนึ่งจะสร้างPM2.5 แต่มันเป็นทุกประเภท โดยเฉพาะการปล่อยควันดำ ตนสั่งมาตรการไปว่าให้เข้มงวดกวดขันทั้งปรับและจับกุม ให้เข้มงวดที่สุดตามกฎหมายปกติ
“ผมถามว่าถ้าเราปิดทั้งหมด หยุดทั้งหมด เข้าพื้นที่ไม่ได้เลย ต้องไปดูว่ามาตรฐานขั้นต้นจะทำอย่างไร ถ้าค่า 50 ตามกฎหมายปกติต้องเข้มงวดทุกประการจากทุกแหล่งที่มา ถ้าเจอจับ ปิด ห้ามวิ่ง แต่ถ้าพื้นที่ใดเกิน50 - 75 ผู้ว่าราชการจังหวัด และผู้ว่าฯกทม.มีมาตรการเข้มงวดกวดขันขึ้นเป็นเฉพาะพื้นที่ อยู่ในอำนาจของผู้ว่าฯ แต่ถ้าสูงถึง 76 - 100 ต้องไปเข้มงวดอีกระดับ อย่างการห้ามรถเข้าออกวันโน้นวันนี้ จะมีผลกระทบมากพอสมควร ฉะนั้นถ้าเกิน100 รัฐบาลจะเทคโอเวอร์ทั้งหมด คราวนี้ก็จะเดือดร้อนทั้งหมด ห้ามการใช้รถ ใช้รถบริการสาธารณะอย่างเดียว ห้ามรถบรรทุกวิ่งเข้า รถเกิน10ปีห้ามใช้ นั่นคือสิ่งที่ทุกคนต้องการให้ใช้มาตรการ แต่เราต้องการไปถึงจุดนั้นหรือ” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
นายกฯ กล่าวต่อว่า ต้องทำให้ต่ำกว่า 50 ได้ก่อน แล้วพื้นที่ที่เกิน 50 - 75 ค่อยใช้มาตรการเข้มงวดไป เช่นโรงเรียน อยู่ในอำนาจของผู้อำนวยการโรงเรียนที่สามารถสั่งปิดได้ในช่วงที่มีอันตรายสูงสุด มีภัยต่อเด็กนักเรียน สามารถหยุดได้ แต่ต้องหาเวลาสอนทดแทน ที่ผ่านมาก็เคยดำเนินการไปแล้ว ทุกอย่างมีขั้นตอนเป็นระดับๆ แต่ถ้าเกิน 100 มาตรการจะเข้มสุด วันนี้ตนให้ทุกหน่วยงานรายงานผลปฏิบัติแล้ว มีลดควันดำเท่าไหร่ ถูกจับกุมเท่าไหร่ ห้ามรถประเภทไหนวิ่งบ้าง แต่ถ้าทุกคนเสนอให้ใช้ยาแรงก็จะเกิดปัญหาอย่างที่เคยเกิด รัฐบาลจ้องแก้ปัญหาในภาพรวมให้ได้ เพราะเหล่านี้เป็นนโยบายสาธารณะ ที่ต้องฟังความคิดเห็นประชาชนทุกภาคส่วน อย่าบอกว่ารัฐบาลไม่ได้ทำอะไร ทำมาตลอดทุกอย่าง เพียงแต่ไม่ได้รายงานผล ต่อไปนี้ตนย้ำให้รายงานผลทุกวัน ให้สื่อ ให้สังคมทราบ
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ส่วนมาตรการเสริมในระยะยาว อยู่ในแผนแม่บทแล้ว เช่นเรื่องของรถไฟฟ้า ขนส่งมวลชนไฟฟ้า แทนรถดีเซล ซึ่งเป็นอีกระยะหนึ่ง เพราะใช้งบประมาณสูงในการจัดหา ในส่วนของโรงงานก็ต้องเตือนกันก่อนแล้วค่อยปิด จากที่ได้รับรายงานมา ค่าPM ก็เกินอยู่ไม่มาก ก็ให้ปรับปรุงแก้ไข ปัญหาก็เบาลง อยู่ในเกณฑ์ที่รับได้ แต่ถ้ายังเป็นอยู่อีก ถ้าจำเป็นก็ต้องปิด ซึ่งเรากำลังเตรียมการในเรื่องเหล่านี้ คาดว่ารายละเอียดทั้งหมดจะเสนอเข้าที่ประชุมคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ในวันพฤหัสที่ 23ม.ค.นี้ เมื่อเล็กๆก็ทำได้แล้วตามกฎหมายปกติ ดำเนินการมาตรการเหล่านี้อย่างเป็นธรรมแล้ว แต่ยังแก้ไม่ได้ ก็ลงมาตรการแรงลงไปทีละขั้นๆ เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบโดยรวม
“ต้องเรียนสังคมว่า ผมให้ความสำคัญกับเรื่องเหล่านี้เป็นพิเศษ เราต้องให้ความสำคัญกับเด็กทารก นักเรียน ผู้สูงวัย ผู้มีครรภ์ คนชรา ถ้าหลีกเลี่ยงพื้นที่เหล่านี้ได้ก็จะเป็นการดี ถ้าเลี่ยงไม่ได้ก็ใช้หน้ากากป้องกัน ถ้ายังไม่ได้อีกคราวนี้ก็จะเข้มงวดแล้ว ขอให้ทุกคนช่วยกันสร้างความเข้าใจให้ได้ก่อน ไม่อย่างนั้นสังคมจะปั่นป่วนไปเหมือนทุกเรื่อง กฎหมายมีทุกตัว แต่บังคับใช้ไม่ได้ เพราะประชาชนเดือดร้อน ซึ่งก็มีเดือดร้อนมาก เดือดร้อนน้อย แต่ทุกคนก็จะทำให้เหมือนกันทั้งหมด มาตรการเดียวกันทุกอย่าง มันได้มั้ยล่ะ ก็ไม่ได้ จึงต้องแก้ปัญหาให้ตรงกับกลุ่มเป้าหมาย รัฐบาลให้ความสำคัญ นอนไม่หลับตลอดกับเรื่องนี้” นายกฯ กล่าว
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ขณะที่กรณีศิลปิน ดารา ประชาชนออกมาตำหนิตนในเรื่องนี้ ขอให้ฟังตนบ้าง ทั้งรัฐบาล และตนก็อึดอัด อยากให้เปิดใจ และทำความเข้าใจร่วมกันว่าเป็นปัญหาหนึ่งที่สำคัญที่สุดในวันนี้ ที่เกิดขึ้นกับทุกคน ล้วนเกิดจากการกระทำของมนุษยทั้งสิ้น การจะใช้ยาเบา ยาแรง ก็ต้องเป็นพื้นที่ไป เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบโดยรวม แต่ที่สำคัญคือเราต้องร่วมมือกัน รับรู้ มีจิตสำนึก ในการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อม ก็เหมือนทุกเรื่องวันนี้ อะไรที่มันมีความขัดแย้ง ถ้ามาร่วมมือกัน หารือกัน หาหนทางปฏิบัติให้ถูกต้อง และเป็นไปตามกฎหมาย มันแก้ได้ทุกเรื่อง แต่ถ้าไม่เอา และใช้กฎหมายเป็นพื้นฐาน มันจะแก้ไม่ได้ซักเรื่อง