ข่าวปนคน คนปนข่าว
** ปริศนาธรรมจาก“อำนวย นิ่มมะโน”ถึงคนที่มีคนห้อมล้อม เดินตามหลัง กางร่มให้ คนที่โตเร็วมีอำนาจแต่แย่งชิงมา ปล้นอำนาจสตช. ทำคำสั่งโยกย้าย ใครที่ฟ้าผ่าลงกบาล “มาร”อยู่เบื้องหลังขวางปฏิรูปตำรวจ หวดซะอย่างนี้ทายกันถูกมั้ย...ใครหนอ ?
พีกในพีกหลัง "พล.ต.ท.อำนวย นิ่มมะโน" อดีตรักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจนครบาล รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และ อดีตคณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านกระบวนการยุติธรรม โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว ในหัวข้อ “ปฏิรูปตำรวจ”(ตอนพิเศษ) ถามกันให้แซ่ด คนปริศนาที่ พล.ต.ท.อำนวย เอ่ยถึงนั้น คือใคร ?
มาลองอ่านเนื้อหาเต็มๆ ที่ พล.ต.ท.อำนวย โพสต์ ระบุว่า “กตัญญู”คือการรู้บุญคุณคน“กตเวที”คือการกระทำตอบแทนคุณผู้อื่น “กตัญญู กตเวที”คือคุณสมบัติของคนดี “อกตัญญู”คือคนเลว แม้จะสร้างเหตุเพื่อให้มีเวทีออกมาพูดว่าตัวเองดี ตัวเองเก่ง ตัวเองรักชาติบ้านเมือง รักแผ่นดิน มีผลงานมากมาย ซึ่งจริง ไม่จริง ของแท้หรือของเทียมยังไม่รู้ (แต่ผมรู้มานานแล้ว) ซึ่งเป็นคนละเรื่องกับเรื่องความกตัญญู“รู้คุณ”และ กตเวที “ตอบแทนคุณ”ซึ่งจะถือว่าเป็นคนดี หรือเลว
คุณอย่าหลงผิด คิดเอาเองว่าการที่มีคนมาห้อมล้อม เดินตามหลัง กางร่มให้ จะแปลว่าคุณเป็นคนดี หากแต่คุณมีอำนาจ (แย่งชิงเขามา) ที่จะให้คุณให้โทษเขาได้ “แมลงวันเลยรุมตอม”ก็เท่านั้น ถามซักคำ คุณมาจากไหน คุณเจริญเติบโตมาเพราะใคร ? ใครปั้น ใครสร้างคุณขึ้นมา ประเด็นนี้กระผมขออ้าง "พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี" อดีต ผบ.ตร. เป็นพยาน
สามสี่ปีที่ผ่านมา สำนักงานตำรวจแห่งชาติถูกกระทำแค่ไหน ด้วยน้ำมือใคร การแต่งตั้งตำรวจ ผบ.ตร.มีอำนาจแต่งตั้งเองหรือไม่ ถูกใครปล้นอำนาจไป ไปแอบทำคำสั่งกันที่โรงแรมใด ห้องใด มีผลประโยชน์แอบแฝงหรือไม่ มีการซื้อขายตำแหน่ง แบ่งโควตาให้กับใครบ้าง ใครทำคำสั่ง ใครมีสิทธิ์ชะโงกหน้ามาดู ใครคือ "มารขาว มารดำ" ใครทำระยำตำบอน เขารู้กันทั้งบ้านทั้งเมือง
"สวรรค์มีตา เทวดามีจริง" ฟ้าผ่าเปรี้ยงๆ ลงบนกบาลมารตนหนึ่ง ส่วนคนให้ท้ายโดนหางเลข ซึ่งก็รู้กันทั่ว ที่กระผมพูดมาไม่ได้เอ่ยชื่อว่าเป็นใคร ท่านคิดกันเอาเองนะ ถูกผิดกระผมไม่ทราบ ( แต่คนที่ท่านคิดอยู่ในใจขณะนี้ ถูกตัวแล้วครับ ) แต่ที่เกี่ยวกับกระผมในฐานะกรรมการปฏิรูปตำรวจชุด อาจารย์มีชัย ฤชุพันธุ์ ซึ่งทำกฎหมายเพื่อการปฏิรูปตำรวจ เสร็จตั้งแต่รัฐบาลชุดก่อน พร้อมที่จะนำเข้าสภานิติบัญญัติแห่งชาติ แต่ด้วยเหตุ หากกฎหมายผ่านสภาฯ การปฏิรูปตำรวจสำเร็จ
"การแต่งตั้ง" จะต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ กติกาใหม่ ซึ่งจะเป็นไปในระบบคุณธรรม ยึดหลักอาวุโสความรู้ความสามารถประกอบกัน เมื่อเป็นระบบ “คุณธรรม”-คุณนะจะไม่ได้ทำ จึงมีการดองร่างกฎหมายนี้ไว้ เพื่อให้ตนเองไปถึงเป้าหมายภายในสามสี่ปี...จริงหรือไม่
ถามอีกคำ คุณคิดได้ไง! ใช้สมองส่วนใดคิด รู้หรือไม่ว่านี่คือการขัดขวางการพัฒนาองค์กร (ปฏิรูปตำรวจ) ถือเป็นกบฏต่อหน่วยงาน ถ้าเป็นสมัยโบราณโทษเท่ากับชายที่หนีทัพ ต้องโทษประหารชีวิตด้วยการใส่ไปในครกยักษ์ ตำด้วยสากยักษ์ เข้าหน้าอก ให้ตับไตไส้พุง ทะลักออกมาอยู่ด้านนอก...
ขณะนี้ร่าง พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ (ปฏิรูปตำรวจ) และ ร่าง พ.ร.บ.การสอบสวนคดีอาญา ซึ่งนำมารีวิวใหม่กำลังจะเสร็จสมบูรณ์ในไม่กี่อึดใจ จะมีใครสมัครใจลงไปในครกยักษ์นี้อีกหรือไม่หนา... รัฐธรรมนูญก็บัญญัติไว้ชัดเจนว่า ให้ปฏิรูปตำรวจ และให้ความสำคัญแบบสุดๆ กำหนดให้เสร็จภายใน 1 ปี นับแต่รัฐธรรมนูญ มีผลบังคับใช้ (นี่ก็เลยเวลามาสองจะสามปีแล้ว)
เดินสวนทางกับใครลองจับมือถามว่า อยากให้ปฏิรูปองค์กรใดเป็นอันดับแรก ก็จะได้คำตอบตรงกันว่า“ตำรวจ” แล้วยังจะดัน จะดึง จะดอง ไม่ยอมให้ปฏิรูปตำรวจ เพียงเพื่อดำรงอำนาจของตนไว้ เพื่อคนของตน เพื่อตนเอง และพวกพ้อง โดยไม่ฟังเสียงเรียกร้องของประชาชน ก็ให้มันรู้ไป... ครานี้อาจจะไม่ใช่เพียงฟ้าผ่า แต่อาจจะมีแผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิด ตามมาด้วย...
พล.ต.ท.อำนวย นรต. รุ่นที่ 31 เป็นคนสงขลา ในวงการสีกากีให้การยอมรับเรื่องความแม่นยำเชี่ยวชาญด้านกฎหมาย โดยยังเป็นอาจารย์พิเศษประจำ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ พยายามผลักดันเรื่องการปฏิรูปตำรวจ อย่างต่อเนื่อง
โพสต์นี้มาในจังหวะเกมขย่มเก้าอี้ ผบ.ตร. "บิ๊กแป๊ะ" พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา โดยอดีตนายตำรวจดัง “โจ๊ก หวานเจี๊ยบ”พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล ที่ปรึกษาพิเศษสำนักนายกรัฐมนตรี กำลังคุกรุ่น จึงได้รับความสนใจจากสังคมเป็นอย่างมาก เพราะเป็นเรื่อง“ตำรวจ”จับ “ตำรวจ”หวดกันไม่ยั้ง เหมือนๆ กัน
แน่นอน พล.ต.ท.อำนวย รู้ว่าคนที่เขาเขียนถึงนั้นคือใคร และยังส่งสัญญาณไปถึงคนที่อยู่เบื้องหลัง คอยให้ท้ายคนคนนี้อีกว่า ถ้าขืน ดึงดัน ขัดขวาง การปฏิรูปตำรวจ ระวัง ครานี้อาจจะไม่ใช่เพียงฟ้าผ่า แต่อาจจะมีแผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิดตามมาด้วย !
ทั้งตัวหลัก และผู้อยู่เบื้องหลัง ทายกันถูกมั้ย... ใครหนอ ?
**เพื่อไทย คิดไม่ตกเรื่องฟัน "3งูเห่า" ที่โหวตสวนมติพรรค ถ้าขับออกก็เข้าทางฝ่ายรัฐบาล ครั้นจะไม่ส่งสมัคร ส.ส.ในสมัยหน้า ก็กลัวเสียของ
กรณี "3งูเห่า" ในพรรคเพื่อไทย คือ "ขจิตร ชัยนิคม" ส.ส.อุดรธานี "พรพิมล ธรรมสาร" ส.ส.ปทุมธานี และ "พลภูมิ วิภัติภูมิประเทศ" ส.ส.กทม. ที่แสดงตัวร่วมเป็นองค์ประชุมในการพิจารณาญัตติด่วน ให้สภาฯตั้ง กมธ.วิสามัญศึกษาผลกระทบจากการกระทำประกาศและคำสั่งของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) และการใช้อำนาจของหัวหน้าคสช. ตามมาตรา 44 เมื่อวันที่ 4 ธ.ค.62 จนทำให้การตั้ง กมธ.ชุดดังกล่าวตกไปเพราะเมื่อมีการนับคะแนนใหม่ ฝ่ายค้านก็แพ้โหวตฝ่ายรัฐบาลไป
ทางพรรคเพื่อไทย จึงตั้งกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง โดยมี "พล.ต.ท.วิโรจน์ เปาอินทร์" อดีตหัวหน้าพรรคเป็นประธาน แต่จนถึงวันนี้ ก็ยังไม่มีบทสรุป
ในครั้งนั้น "ขจิตร" ชี้แจงโดยยืนยันว่า "ไม่ได้รับกล้วย" จากฝ่ายรัฐบาล แต่เสียบบัตรคาไว้ในช่องเสียบบัตร แล้วไปประชุมกรรมาธิการ จึงอาจมีใครมากดบัตรแสดงตนแทน จึงกลายเป็นหนุนองค์ประชุมไป
ส่วน "พลภูมิ" นั้น เป็นที่รับรู้กันในพรรคว่า เป็นเรื่อง"บุญคุณ" เนื่องจากเขาเคยถูก ป.ป.ช. ชี้มูลความผิด ฐานจงใจปกปิดบัญชีทรัพย์สินและหนี้สิน เป็นรายการบัตรเครดิตประมาณ 2.2 แสนบาท และเงินฝากในบัญชี 1.6 หมื่นบาท ... สุดท้ายศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พิพากษายกคำร้อง เนื่องจากป.ป.ช.ไม่สามารถนำตัวผู้ถูกกล่าวหามาส่งศาลฯ ภายใน 5 ปี ทำให้คดีขาดอายุความ... ว่ากันว่าเป็นเพราะเขาได้รับความช่วยเหลือจาก "บิ๊กในรัฐบาล" คนหนึ่ง เมื่อมีรายการคุณขอมา จึงไม่อาจปฏิเสธได้
สำหรับ"พรพิมล" ก็เป็นเหตุผลทางคดี ที่ได้รับความช่วยเหลือเช่นกัน เพียงแต่เป็นคดีของสามี
ล่าสุด... ในการโหวตลงมติ วาระ 3 ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2563 ปรากฏว่า "พรพิมล" โหวตเห็นด้วยกับฝ่ายรัฐบาล ขณะที่ "พลภูมิ" ไม่ลงคะแนนเสียง ส่วน "ขจิตร" โหวตหนุนฝ่ายค้านไปตามมติพรรค
เมื่อเป็นเช่นนี้ ทางพรรคเพื่อไทย จึงจำเป็นต้องหามาตรการ หรือบทลงโทษ เพื่อเป็นการ"ปราม" ไม่ให้ ส.ส.ทั้งสามคนนี้ รวมทั้งคนอื่น โหวตสวนมติพรรคอีก ...แต่ก็ยังคิดไม่ตก
เพราะถ้าใช้มาตรการ "ขับออก" จากพรรค ก็จะไปเข้าทางฝ่ายรัฐบาลทันที เนื่องจาก ส.ส.กลุ่มนี้ สามารถย้ายไปสังกัดพรรคร่วมรัฐบาลได้ เหมือนกรณีของพรรคอนาคตใหม่ ที่ขับ 4 ส.ส.ออกจากพรรค สุดท้าย ส.ส.ทั้ง 4 คน ก็ไปเข้าสังกัดพรรคในซีกรัฐบาล เท่ากับเป็นการเพิ่มเสียงให้ฝ่ายรัฐบาล พ้นปัญหาเสียงปริ่มน้ำไปโดยปริยาย ... เกมต่อรองทางการเมืองในสภาฯ ก็จะยิ่งเสียเปรียบไปกันใหญ่
ครั้นจะใช้มาตรการตัดสิทธิไม่ให้ลงสมัคร ส.ส.ครั้งหน้า ก็ค่อนข้างเสี่ยงที่จะเสียส.ส.ในเขตนั้นๆไป เพราะแต่ละคนมีฐานเสียงที่จะรักษาตัวรอดในการเลือกตั้งได้ อย่างเช่น "ขจิตร ชัยนิคม" นั้น เป็น ส.ส.อุดรธานี มาถึง 5 สมัย ส่วน"พรพิมล ธรรมสาร" ก็เป็น ส.ส.ปทุมธานี มา 2 สมัย เช่นเดียวกับ "พลภูมิ วิภัติภูมิประเทศ" ก็เป็น ส.ส.กทม. มา 2 สมัย
หากพรรคเพื่อไทยไม่ส่งลงสมัครส.ส. ทั้งสามคนนี้ ก็ไปหาพรรคใหม่สังกัด แล้วลงเลือกตั้งสู้กับผู้สมัครของพรรคเพื่อไทย...และมีโอกาสสูงที่จะเอาชนะได้
ยิ่งเมื่อไปตรวจสอบผลคะแนนเลือกตั้ง เมื่อปี 2554 ที่กำหนดให้มีบัตรเลือกตั้ง 2 ใบ คือ คะแนนส.ส. และคะแนนพรรค ปรากฏว่าทั้งสามคน มีคะแนนใกล้เคียงกับคะแนนพรรค บางคนคะแนนส่วนตัวสูงกว่าคะแนนพรรคด้วยซ้ำ...ประเด็นนี้จึงทำให้แกนนำพรรคเพื่อไทยต้องคิดหนัก เพราะควรจะมีมาตรการอย่างใดอย่างหนึ่งออกมา ก่อนที่จะเปิดศึกซักฟอกรัฐบาล
จะขับออกจากพรรคก็ไปเข้าทางรัฐบาล จะตัดสิทธิไม่ให้ลงสมัครส.ส. ก็กลัวจะกลายเป็นเรื่อง"เสียของ"ไป...ครั้นจะปล่อยไว้อย่างนี้ ก็จะ "เสียการปกครอง"ภายในพรรค ...สุดท้ายเลยยังไม่รู้เอาไงดี