xs
xsm
sm
md
lg

คดีในมือศาล มาอยู่ในมือสื่อ “ปิยบุตร” กำลังโทษใคร?

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


ต้องถามกลับว่า “ปิยบุตร แสงกนกกุล” เชื่ออย่างที่นำมาอธิบาย “Lawfare” หรือไม่ คดีในมือศาล แล้วมาอยู่ในมือสื่อ บ่มเพาะสถานการณ์ ชี้นำสังคม “ผิดแน่ ผิดแน่ ไม่รอด ไม่รอด โดนแน่”

น่าสนใจอย่างยิ่ง เมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน 2562 นายปิยบุตร แสงกนกกุล ส.ส.บัญชีรายชื่อและเลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ โพสต์ทวิตเตอร์ ว่า “ผมอยากลองถามให้สังคมฉุกคิดกันดู ว่า คุณเชื่อว่า ธนาธรโดนแน่ ปิยบุตรโดนแน่ #อนาคตใหม่ โดนแน่ คุณเชื่อแบบนั้นเพราะเราทำผิดจริงๆ หรือคุณคิดว่าเราต้องโดน เพียงเพราะผู้มีอำนาจมองว่าพวกนี้เป็นอันตรายต่อเขา ที่ตัดสินไปแล้วว่าโดนแน่ ตัดสินจากเหตุผลชุดไหนกันแน่”

ขณะเดียวกัน นายปิยบุตร ให้สัมภาษณ์แทบลอยด์ ไทยโพสต์ เรื่อง “สมมติ อนค.ถูกยุบพรรค หัวใจของพวกเราก็ยังคงอยู่” โดยกล่าวตอนหนึ่ง เมื่อถูกถามถึงความเชื่อมั่นในคำตัดสินของศาลหรือไม่ คดีที่นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรค ถือหุ้นสื่อ ว่า

“...ผมมองในภาพรวมแบบนี้ว่า มันเป็นกระบวนการที่สอดคล้องต้องกันกับแนวโน้มของโลก ในภาษาอังกฤษเขากำลังนิยมใช้กันคือ Lawfare ที่ล้อมาจากคำว่า Warfare ที่เริ่มต้นมาจากลาตินอเมริกา คือในลาตินอเมริกาคุณเลือกประธานาธิบดีที่เป็นสังคมนิยม ที่จะทำนโยบายช่วยเหลือประชาชน ทางสหรัฐก็จะไม่พอใจ เมื่อก่อนเขาจะใช้วิธีรัฐประหาร ไม่ว่าจะเป็นในชิลี บราซิล อาร์เจนตินา โดนแบบนี้หมดคือถูกรัฐประหาร แล้วก็จะส่งคนไปเป็นประธานาธิบดีที่เป็นตัวแทนของฝ่ายสนับสนุน ลัทธิเศรษฐกิจเสรีนิยมใหม่ที่สนับสนุนสหรัฐเข้ามาแทน แต่ยุคปัจจุบันโลกไม่ยอมรับ "เอ้ย อะไรยึดอำนาจอีกแล้ว" เขาก็เปลี่ยนจาก Warfare ที่ใช้อาวุธยึดอำนาจมาเป็น Lawfare คือใช้กฎหมาย อันนี้เป็นเทรนด์ของโลก

Lawfare ทำงานโดยมีสองเครื่องมือหลักๆ หนึ่ง Judicialization of Politics คือเอาประเด็นการเมืองให้ไปอยู่ในมือศาล โดยมาในนามของ Rules of Law หลักนิติรัฐ นิติธรรม ศาลต้องมีอำนาจในการตรวจสอบ และไปในนามของ Transparency ความโปร่งใส, Anti-Corruption ต้องตรวจสอบนักการเมืองที่ทุจริตคอร์รัปชัน โดยคดีต่างๆ ของนักการเมืองไปอยู่ในมือศาล กับอีกเครื่องมือที่ขับเคลื่อนได้คือ Mediatisation of Politics Judicial Case คือเอาประเด็นการเมืองไปอยู่ในมือศาล แล้วก็เอาประเด็นการเมืองที่อยู่ในศาลไปอยู่ในมือสื่อ หมายถึงสื่อก็จะช่วยกันทำข่าว ชี้นำสังคมไปเรื่อยๆ “ผิดแน่ ผิดแน่ ไม่รอด ไม่รอด โดนแน่” พูดทุกวัน

...เช่น ข้อมูลหนึ่งบรรทัดไปเปิดดูว่าถือหุ้นอะไรไว้บ้าง เรื่องหนึ่งบรรทัด ปั๊ม-ผลิตข่าวได้สองร้อยข่าว มันจะเป็นลักษณะแบบนี้ ซึ่งผมยืนยันว่าเรื่องแบบนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะที่ประเทศไทย แต่มันเป็นแนวโน้มของโลกที่กำลังทำกัน ที่มีการให้ชื่อว่า Lawfare เรื่องที่มีการนำประเด็นที่อยู่ในศาลไปอยู่ในมือสื่อ คือจะให้สื่อนำเสนอทุกวัน จนสังคมเชื่อไปแล้วว่าผิด โดยที่คนซึ่งเสพสื่อไม่ได้ไปดูข้อกฎหมาย ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร แต่เชื่อไปล่วงหน้าเรียบร้อย แล้วก็ค่อยๆ บ่มสถานการณ์ไปเรื่อยๆ ผมก็ไม่แน่ใจว่าประเทศไทยเข้าสู่สถานการณ์นั้นหรือไม่อย่างไร แต่สิ่งนี้เป็นแนวโน้มของโลกที่นำมาอธิบายให้ทราบกัน...”
ภาพจากเฟซบํก ปิยบุตร แสงกนกกุล
ประเด็นที่น่าวิเคราะห์ ก็คือ คำถามที่ “ปิยบุตร” โยนให้สังคมฉุกคิด มีที่มา จากความเชื่อเรื่อง “Lawfare” ใช่หรือไม่ และเชื่อว่า มีขบวนการทำร้าย ทำลาย พวกตัวเองอยู่ใช่หรือไม่

โดยเฉพาะ ที่ถามว่า “คุณเชื่อแบบนั้นเพราะเราทำผิดจริงๆ หรือคุณคิดว่าเราต้องโดน เพียงเพราะผู้มีอำนาจมองว่าพวกนี้เป็นอันตรายต่อเขา ที่ตัดสินไปแล้วว่าโดนแน่ ตัดสินจากเหตุผลชุดไหนกันแน่”

ส่วนคดีต่างๆของ ธนาธร, ปิยบุตร และพรรคอนาคตใหม่ อาจนับจาก 1. คดีถือครองในธุรกิจสื่อบริษัท วี-ลัค มีเดีย จำกัด ของธนาธร ก่อนลงเลือกตั้ง 2.คดียุบพรรคอนาคตใหม่ ที่ ณฐพร โตประยูร อดีตที่ปรึกษาผู้ตรวจการแผ่นดิน ยื่นคำร้องตรงถึงศาลรัฐธรรมนูญ กล่าวหา ธนาธรและแกนนำพรรคอนาคตใหม่
รวมถึงพรรคอนาคตใหม่ มีพฤติการณ์หลายกรรมหลายวาระ ล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตย ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญมีมติเมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม ด้วยมติ 5 ต่อ 4 ให้รับคำร้องไว้วินิจฉัย

โดยทั้งสองฝ่าย ได้ยื่นคำแถลงปิดคดีต่อศาลรัฐธรรมนูญไปแล้ว

3. คดีเงินกู้ยืมระหว่างพรรคอนาคตใหม่กับธนาธรก่อนเลือกตั้ง ประมาณ 192 ล้านบาท ตามที่ธนาธรแจ้งบัญชีทรัพย์สินหนี้สินต่อสำนักงาน ป.ป.ช. ซึ่งคดียังอยู่ในชั้นตอนของ กกต.

ส่วน นายปิยบุตร ถูก พล.ต.บุรินทร์ ทองประไพ ปัจจุบันเป็นผู้อำนวยการสำนักงานพระธรรมนูญทหารบก และผู้ชำนาญการสำนักงาน กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า แจ้งความ ในข้อหาดูหมิ่นศาล ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 198 โดยพนักงานสอบสวน บก.ปอท. ได้นัด “ปิยบุตร” พร้อมนำสำนวนความเห็นสมควรสั่งฟ้อง ยื่นพนักงานอัยการ สำนักงานคดีอาญาแล้ว

จากกรณีเมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2562 “ปิยบุตร” อ่านแถลงการณ์พรรคอนาคตใหม่ เรื่อง “ยุบพรรคไทยรักษาชาติ” ในการแถลงข่าวหลังศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยยุบพรรคไทยรักษาชาติ โดยแถลงการณ์มีสาระสำคัญ 4 ข้อ พร้อมสรุปตอนหนึ่งวิพากษ์วิจารณ์ขบวนการ “ตุลาการภิวัตน์” หรือการใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือทางการเมืองว่า “ไม่ได้ช่วยให้ความขัดแย้งทางการเมืองลดลง แต่กลับทำให้ระบบการตรวจสอบการใช้อำนาจถูกตั้งคำถาม จนกลายเป็นว่า ฝ่ายหนึ่งก็มองว่ารัฐบาลเสียงข้างมากใช้อำนาจโดยมิชอบ อีกฝ่ายหนึ่งก็มองว่าองค์กรตุลาการและองค์กรอิสระต้องการทำลายฝ่ายเสียงข้างมาก สภาพการณ์เช่นนี้ นำมาซึ่งการแตกขั้วทางการเมืองจนถึงที่สุด จนสังคมไทยไม่อาจหาฉันทามติได้”

“ปิยบุตร” ทวิตเตอร์ตั้งคำถามกับสังคม คล้ายต้องการอธิบายปรากฏการณ์ “Lawfare” ที่กำลังเกิดขึ้นกับ ธนาธร ตน และพรรคอนาคตใหม่ อย่างไม่ต้องสงสัย และนั่นหมายถึงถูกสื่อและสังคมตัดสินไปแล้วว่าผิด ก่อนที่ศาลจะตัดสินด้วยซ้ำ

ไม่นับว่า อาจเป็นการโยนความกดดันไปให้ศาล โดยตั้งใจหรือไม่ ก็ตาม ว่าจะตัดสินตามกระแสสื่อและสังคมหรือไม่ด้วย


กำลังโหลดความคิดเห็น