xs
xsm
sm
md
lg

ปลื้มปีติ ในหลวงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดทำพระประวัติ เจ้าคุณพระสินีนาฏ พิลาสกัลยาณี ** อย่างไว!! กกต. มีมติ ยุบพรรคประชาชนปฏิรูป ตามที่ “ไพบูลย์” ยื่นคำร้องแล้ว **ไม่เห็นต้องคิดมาก! คณะทำงานชุด “ปลัดแอ๊ด” สรุปแนวทางแก้ข้อพิพาททางด่วน 3 แนวทาง

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


ข่าวปนคน คนปนข่าว



**ปลื้มปีติ ในหลวงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดทำพระประวัติ เจ้าคุณพระสินีนาฏ พิลาสกัลยาณี โดยพระบรมราชานุญาต พร้อมกับทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระบรมฉายาลักษณ์ และภาพถ่ายที่ทรงฉายพระรูปคู่

พสกนิกรต่างพากันปลื้มปีติ เมื่อทราบข่าว เมื่อวันที่ 26 ส.ค. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดทำพระประวัติ “เจ้าคุณพระสินีนาฏ พิลาสกัลยาณี” โดยพระบรมราชานุญาต พร้อมกับทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระบรมฉายาลักษณ์ และภาพถ่าย ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานพระบรมราชานุญาตทรงฉายพระรูปคู่กับ เจ้าคุณพระสินีนาฏ พิลาสกัลยาณี รวมทั้งภาพถ่ายของเจ้าคุณพระสินีนาฏ พิลาสกัลยาณี ในโอกาสต่างๆ

ก่อนนี้ เมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2562 เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ประกาศ เรื่อง สถาปนา “เจ้าคุณพระสินีนาฏ พิลาสกัลยาณี” ความว่า พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ประกาศว่า โดยที่ทรงพระราชดำริว่า “พลตรีหญิง ท่านผู้หญิงสินีนาฏ วงศ์วชิราภักดิ์“ ปฏิบัติราชการในตำแหน่งผู้อำนวยการกองปฏิบัติการกิจการราชสำนัก กรมกิจการวัง ทหารมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ กรมฝ่ายเสนาธิการ กองบัญชาการทหารมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ หน่วยบัญชาการถวายความปลอดภัยรักษาพระองค์ปฏิบัติหน้าที่ รองผู้บังคับการ กรมทหารรักษาวังมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ กองบัญชาการทหารมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ หน่วยบัญชาการถวายความปลอดภัยรักษาพระองค์ และผู้บังคับกองพันราชสำนัก กรมทหารรักษาวังมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ กองบัญชาการทหารมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ หน่วยบัญชาการถวายความปลอดภัยรักษาพระองค์ ได้ปฏิบัติหน้าที่ฉลองพระเดชพระคุณในราชการใน พระองค์ด้วยความเรียบร้อยและแบ่งเบาพระราชภาระได้เป็นอันมากจนเป็นที่ไว้วางพระราชหฤทัย สมควรจะยกย่องให้มีเกียรติยศสูงขึ้นตามโบราณราชประเพณี

จึงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้สถาปนา “พลตรีหญิง ท่านผู้หญิงสินีนาฏ วงศ์วชิราภักดิ์” ขึ้นเป็น “เจ้าคุณพระสินีนาฏ พิลาสกัลยาณี” ตามที่จารึกลงในสุพรรณบัฏจงเจริญด้วยอายุ พรรณ สุข พล ปฏิภาณ คุณสารสมบัติ สรรพสิริสวัสดิ์ พิพัฒนมงคล ทุกประการ ประกาศ ณ วันที่ 28 กรกฎาคม พุทธศักราช 2562 เป็นปีที่ 4 ใน รัชกาลปัจจุบัน
เจ้าคุณพระสินีนาฏ พิลาสกัลยาณี
“เจ้าคุณพระสินีนาฏ พิลาสกัลยาณี” มีชื่อเดิมว่า ท่านผู้หญิงสินีนาฏ วงศ์วชิราภักดิ์ และ นิรมล อุ่นพรม เกิดเมื่อวันที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2528 ณ ตำบลท่าวังผา อำเภอท่าวังผา จังหวัดน่าน เป็นธิดาของนายวิรัตน์ อุ่นพรม กับนางปราณี อุ่นพรม สำเร็จการศึกษาระดับมัธยมศึกษาจากโรงเรียนท่าวังผาวิทยาคม จังหวัดน่าน จากนั้นจึงเข้าศึกษาหลักสูตรพยาบาลศาสตรบัณฑิต ณ วิทยาลัยพยาบาลกองทัพบก รุ่นที่ 41 จนจบการศึกษาเมื่อปี พ.ศ. 2551 จากนั้นจึงได้ทำงานเป็นพยาบาลประจำโรงพยาบาลอานันทมหิดล

เมื่อวันที่ 1 ธันวาคม พ.ศ.2555 “เจ้าคุณพระสินีนาฏ พิลาสกัลยาณี” ได้ดำรงตำแหน่ง เจ้าพนักงานในพระองค์ ตำแหน่ง ประเภททั่วไป ระดับชำนาญงาน งานศิลปาชีพ 904 ฝ่ายกิจการพิเศษประจำราชสำนัก โครงการในพระองค์ฯ และการพระราชกุศลกองงาน พระวรชายาในสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร สำนักพระราชวัง

เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2557 เป็นเจ้าพนักงานในพระองค์ ตำแหน่งประเภททั่วไป ระดับอาวุโส งานพระราชกุศล และพระราชานุเคราะห์และโครงการในพระองค์ ฝ่ายราชเลขานุการ กองกิจการในพระองค์สมเด็จ พระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร สำนักพระราชวัง

“เจ้าคุณพระสินีนาฏ พิลาสกัลยาณี” ได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นที่เชิดชูยิ่งช้างเผือก ชั้นสูงสุด มหาปรมาภรณ์ช้างเผือก (ม.ป.ช.), เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติยศยิ่งมงกุฎไทย ชั้นสูงสุด มหาวชิรมงกุฎ (ม.ว.ม.), เครื่องราชอิสริยาภรณ์จุลจอมเกล้า ชั้นปฐมจุลจอมเกล้า (ป.จ.), เหรียญรัตนาภรณ์ รัชกาลที่ ๑๐ (ว.ป.ร.1), เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นที่เชิดชูยิ่งช้างเผือก ชั้น 2 ทวีติยาภรณ์ช้างเผือก (ท.ช.) รวมถึงเข็มราชวัลลภทองคำลงยา ด้วย

“เจ้าคุณพระสินีนาฏ พิลาสกัลยาณี” คือผู้ดำรงตำแหน่งประจำหน่วยทหารมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ หน่วยบัญชาการถวายความปลอดภัยรักษาพระองค์ ในการพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช

เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม พ.ศ.2560 “พลตรีหญิงสินีนาฏ” ดำรงตำแหน่งผู้บังคับแถวแซงเสด็จ เป็นผู้ออกคำสั่งให้ทหารกองเกียรติยศทำความเคารพและจัดระเบียบแถวทหาร ณ ขบวนพระบรมราชอิสริยยศ และต่อเนื่องไปยังพระเมรุมาศ

** อย่างไว!! กกต.มีมติยุบพรรคประชาชนปฏิรูป ตามที่ “ไพบูลย์” ยื่นคำร้องแล้ว ส่วน 10 พรรคเล็กจะเดินตามรอย “ไพบูลย์โมเดล” หรือไม่ ต้องชั่งน้ำหนักให้ดี เพราะการอยู่พรรคใหญ่มีความมั่นคง ไม่ต้องรับภาระการบริหารจัดการ แต่ก็ต้องเสียอำนาจการต่อรองไปโดยปริยาย
ไพบูลย์ นิติตะวัน
กรณี “ไพบูลย์ นิติตะวัน” หัวหน้าพรรคประชาชนปฏิรูป และเป็น ส.ส.บัญชีรายชื่อ หนึ่งเดียวของพรรค ได้ยื่นคำร้อง ขอยุบพรรคของตัวเอง ต่อนายทะเบียนพรรคการเมือง ... เมื่อนายทะเบียนพรรคการเมืองรับเรื่องไว้แล้ว ก็ได้ทำการตรวจสอบคำร้อง หลักฐาน ตามที่ได้เสนอมา และมีความเห็นว่า มีกรณีที่เป็นเหตุให้พรรคประชาชนปฏิรูป สิ้นสภาพความเป็นพรรคการเมืองตาม มาตรา 91 (7) แห่ง พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2560 จึงเสนอที่ประชุม กกต.พิจารณา ... และเมื่อวานนี้ (26 ส.ค.) ที่ประชุม กกต.ก็มีมติให้ยุบพรรคได้ ... จากนี้ก็รอการประกาศในราชกิจจานุเบกษา ซึ่งการยุบพรรคก็จะมีผลโดยสมบูรณ์

คราวนี้ “ไพบูลย์” ก็สามารถย้ายไปสังกัดพรรคพลังประชารัฐอย่างที่ตั้งใจไว้ โดยต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 60 วัน ตามที่ พ.ร.ป.พรรคการเมือง มาตรา 91 เปิดช่องไว้...

สำหรับคำถามที่ว่า เมื่อยุบพรรคประชาชนปฏิรูปไปแล้ว คะแนนของพรรคกว่า 4 หมื่นคะแนน ก็จะหายไป ตรงนี้ต้องมาคำนวณ ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ กันใหม่หรือไม่ จะกระทบต่อ ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์เดิม หรือไม่... อย่างที่ นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว และ สุทิน คลังแสง ส.ส.ดาวสภาของพรรคเพื่อไทย ได้ตั้งข้อสังเกตในเชิง “ให้มันยุ่งเข้าไว้”

ประเด็นนี้ “สดศรี สัตยธรรม” อดีต กกต.ได้อธิบายว่า ไม่กระทบ ไม่ต้องคำนวณใหม่ เนื่องจาก พ.ร.ป.พรรคการเมืองฉบับนี้ระบุว่า ไม่จำเป็นต้องมีการคำนวณจำนวน ส.ส.พึงมีใหม่แต่อย่างใด... เว้นแต่ว่า มีการแจกใบแดง ส.ส.เขต จากการทุจริตเลือกตั้ง ต้องมีการเลือกตั้งกันใหม่ คะแนนที่เปลี่ยนแปลงไปจากการเลือกตั้งนี้จะถูกนำมาคิดคำนวณ ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์กันใหม่ ... เมื่อถึงเวลานั้น คนที่ต้องลุ้นคือคนที่เพิ่งได้รับเลื่อนขึ้นมาเป็น ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์คนล่าสุดของแต่ละพรรค...

หลังจากนี้ คงต้องจับตา 10 พรรคเล็กที่เหลือจะดำเนินรอยตาม “ไพบูลย์โมเดล” หรือไม่... เพราะเป็นที่รู้กันดีว่า การทำพรรคเล็กให้เติบโต หรือ อยู่รอด ในการเลือกตั้งครั้งหน้านั้น ไม่ใช่เรื่องง่าย... เนื่องจากมีเงื่อนไขที่พรรคต้องหาสมาชิกให้ได้ขั้นต่ำ 5,000 คน ต้องมีการจัดตั้งสาขาพรรคทั้ง 4 ภาค และในการจะส่งผู้สมัคร ส.ส.เขต แต่ละเขต ต้องทำไพรมารีโหวตจากสมาชิกในเขตเลือกตั้งนั้นๆ ก่อน... ซึ่งการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมานี้ เงื่อนไขต่างๆ ที่ว่ามา ได้รับการยกเว้นชั่วคราว...

ดังนั้น แนวโน้มที่พรรคเล็กจะใช้ “ไพบูลย์โมเดล” คงต้องมีแน่ เพราะหนึ่งนั้นไม่ต้องมาแบกรับภาระการบริหารจัดการพรรคที่ต้องใช้เงินไม่ใช่น้อย ... เมื่อย้ายเข้าไปอยู่พรรคใหญ่ โดยเฉพาะพรรคที่เป็นแกนนำรัฐบาลย่อมมีความมั่นคงกว่า ... แต่อย่างว่า เมื่อมีข้อดี ก็ต้องมีข้อด้อยอยู่เหมือนกัน เพราะเมื่อย้ายเข้าพรรคใหญ่แล้ว อำนาจในการ “ต่อรอง” ก็จะหมดไปโดยปริยาย ... ดังนั้น พรรคเล็กคงต้องชั่งน้ำหนัก บวก ลบ คูณ หาร ให้ดี ก่อนตัดสินใจ...

** ไม่เห็นต้องคิดมาก!! คณะทำงานฯชุด “ปลัดแอ๊ด” สรุปแนวทางแก้ข้อพิพาททางด่วน “กทพ.-BEM” ให้ “ศักดิ์สยาม” เคาะชง ครม. ให้ไปเผื่อเลือก 3 แนวทาง เห็นด้วยขยายสัมปทาน 30 ปี พ่วง Double Deck แก้ปัญหาจราจร ส่วนอีก 2 ทาง “สู้ตาย” วัดใจค่าเสียหายพุ่งเฉียด 4 แสนล้านบาท หรือ “ต่อรอง” ที่ต้องใช้เวลาเจรจา “จุดลงตัว” ในขณะที่ดอกเบี้ยวิ่งทุกวัน แถมบอร์ด PPP เคาะแล้ว กทพ. แก้สัญญาทางด่วนที่จะหมดปี 63 แม้ไม่แก้ก่อน 5 ปีได้ไม่ผิด กม. ทางสะดวกแบบนี้แล้ว “รมว.คมนาคม” คงเลือก “ทางที่ดีที่สุด” ไม่ยาก
ศักดิ์สยาม ชิดชอบ
ปิดซองติดแสตมป์เรียบร้อย .. คณะทำงานแก้ไขปัญหาข้อพิพาทสัมปทานทางด่วน ระหว่างการทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) กับ บมจ.ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ (BEM) ของกระทรวงคมนาคม ที่มี “ปลัดแอ๊ด” ชัยวัฒน์ ทองคำคูณ ปลัดกระทรวงหูกวาง เป็นประธาน .. จัดทำรีพอร์ตผลการศึกษา พร้อมทั้งข้อดี-ข้อเสีย เปรียบเทียบ ร่อนไปวางบนโต๊ะ “เสี่ยโอ๋” ศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม เป็นที่เรียบร้อย ขั้นตอนต่อไป ก็รอให้ “เสี่ยโอ๋” เคาะ ก่อนชงให้ที่ประชุม ครม.อีกที ..

โดย “ปลัดแอ๊ด” แย้มๆ ว่า ได้สรุปแนวทางความเป็นไปได้ 3 แนวทาง เพื่อให้เจ้ากระทรวงพิจารณา ... แนวทางแรก เป็นแนวทางเดิมที่รับรู้กันอยู่ คือ ขยายสัญญาสัมปทานทางด่วนออกไปอีก 30 ปี เพื่อยุติข้อพิพาทที่มีต่อกัน ทั้งในปัจจุบันที่มีมูลค่า 1.37 แสนล้านบาท และที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ที่มูลค่าอาจพุ่งทะลุไปเกิน 3 แสนล้านบาท .. ในสัญญาสัมปทานที่จะต่อกัน 30 ปี ก็มีเงื่อนไขไว้ด้วยว่า จะต่อกัน 15 ปีแรก เพื่อยุติข้อพิพาท 1.37 แสนล้านบาท ที่ว่าไปข้างต้น ส่วนอีก 15 ปีหลัง ก็จะพ่วงการก่อสร้างทางด่วน ชั้นที่ 2 (Double Deck)เส้นทางงามวงศ์วาน-พระราม 9 เพื่อบรรเทาการจราจร แต่หากในส่วนนี้ กทพ.ทำรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA)ไม่ผ่าน ก็ “ฟาวล์” ไป .. อันเป็นแนวทางที่ไม่ว่า คณะกรรมการของ กทพ.เคยสรุป และเสนอถึงที่ประชุม ครม.ไปรอบหนึ่งแล้ว รวมไปถึงผลการศึกษาของ กมธ.วิสามัญ สภาผู้แทนราษฎร ที่เพิ่งพิจารณาจบเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว และ “เสียงข้างมาก”ที่มีทั้ง ส.ส.ฝ่ายค้าน-ฝ่ายรัฐบาล เห็นด้วยกับการต่อสัญญาสัมปทานเพื่อยุติข้อพิพาท .. จนอาจสรุปได้ว่า การแก้ไขข้อพิพาทขยายสัญญาสัมปทานทางด่วนออกไปอีก 30 ปี น่าจะเป็นแนวทางที่ดีที่สุดในการแก้ปัญหา ..

ส่วนอีก 2 แนวทางของคณะทำงานฯ ที่เหลือนั้น “ปลัดแอ๊ด” ขออนุญาตอุบไว้ก่อน เพื่อเป็นการ “ให้เกียรติ” รมว.คมนาคม ในฐานะที่ต้องเป็นผู้ตัดสินใจในขั้นสุดท้าย ก่อนชง ครม. .. เผอิญ “ข่าวปนคนฯ” ได้ยินแว่วๆ มาว่า อีก 2 แนวทางที่เหลือ ก็ไม่ได้ถึงขั้น “ท็อปซีเคร็ต” อะไรมากมาย คือ หนึ่ง “สู้ตาย” ให้ กทพ.ต่อสู้คดีที่เหลือทั้งหมด ทั้ง 17 ข้อพิพาท ที่ต่อกันถึงสิ้นปี 2561 และจะมีข้อพิพาทงอกเพิ่มเป็นรายปีไปจนกว่าจะหมดสัญญาสัมปทานทุกเส้นทางราวปี 2578 ที่อาจจะส่งผลให้มูลค่าข้อพิพาท รวมดอกเบี้ยพุ่งไปเฉียด 4 แสนล้านบาท ในกรณีที่ กทพ.แพ้หมดรูปในทุกคดี ..

ย้อนความจำอีกนิด ข้อพิพาท กทพ.กับ BEM แบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือการสร้างทางแข่งขัน ซึ่ง “ศาลปกครองสูงสุด” ตัดสินสิ้นสุดไปแล้ว 1 คดี ให้ กทพ.ชดใช้ค่าเสียราว 3 พันกว่าล้านบาท ซึ่งเป็นเพียงค่าเสียหายเมื่อปี 2542-2543 เท่านั้น ไม่นับความเสียหายตั้งแต่ปี 2544-2561 ซึ่งยังมีข้อพิพาทกันอยู่ และค่าเสียหายเกิดขึ้นทุกปีจนกว่าจะ

สิ้นสุดสัมปทาน .. ส่วนอีกเรื่องเป็นกรณีที่รัฐบาลก่อนๆ ไม่ให้ BEM ปรับค่าผ่านทางตามสัญญาที่ต้องปรับขึ้นทุก 5 ปี โดยเกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2546 มี 1 คดี ที่ศาลปกครองกลางตัดสินให้ กทพ.ชำระค่าเสียหายไปแล้ว เหลือแค่ชั้น “ศาลสูง” ที่กำหนดตัดสินเร็วๆ นี้ ..

ทิศทางของ 2 คดีที่จบไปแล้ว และเกือบจบ น่าจะเป็นแนวโน้ม ที่ส่งผลให้ ทางเลือก “สู้ตาย” คงไม่อยู่ในข่ายที่ “เสี่ยโอ๋” จะกล้ารับไว้พิจารณา และเสนอต่อครม. เพราะอย่าลืมอีกว่า “ครม.ประยุทธ์ 1” เป็นผู้สั่งการ กทพ. มาเจรจากับ BEM โดยมีเงื่อนไขสำคัญว่า ต้องไม่จ่ายเงินสดเด็ดขาด ... อีกแนวทางที่เหลือ ที่คณะทำงานของ“ปลัดแอ๊ด” ชงไปนั้น เป็นการให้ไปต่อรองกับ BEM เพิ่มเติมว่า การต่อสัญญาสัมปทาน 30 ปี ให้เหลือแค่ 20 ปี โดยคงเงื่อนไขต่างๆไว้เช่นเหมือนเดิม .. ซึ่งแนวทางหลังนี้ก็คงเป็นไปได้ยากเช่นกัน เพราะเมื่อมีการต่อรอง รายละเอียดต่างๆ ก็ต้องมีเจรจาหา “จุดลงตัว” กันอีกยกใหญ่ เพราะแน่นอนว่าทาง “เอกชน” คงต้องยึดข้อสรุปเดิมที่เจรจาไว้กับคณะกรรมการของ กทพ. และหากมีการเจรจาเพิ่มเติม อย่าลืมว่า “ดอกเบี้ย” วิ่งไม่หยุดทุกวัน แล้วหากเจรจาไปเรื่อย จนคดีที่ค้างอยู่ในชั้นศาลตัดสินสิ้นสุด แล้วออกมา “ไม่เป็นบวก” กับ กทพ. ก็ยิ่งทำให้เอกชนถือ “ไพ่เหนือกว่า” ขึ้นไปอีก ...

เมื่อประมวล “ทางเลือก-ทางรอด” ทั้งหมดแล้ว พอที่จะสรุปได้ว่า การต่อสัญญาสัมปทาน 30 ปี โดยมีเงื่อนไขนั้น เป็น “ทางออกที่ดีที่สุด” เพราะทั้งคณะกรรมการฯ ของ กทพ. และ กมธ.ทางด่วนฯ ของสภาผู้แทนราษฎร ตลอดจนคณะทำงานล่าสุดของกระทรวงคมนาคม ที่ “ปลัดแอ๊ด” เป็นประธาน ก็สรุปออกมาตรงกัน .. แล้วยังบังเอิญ เมื่อวาน (26 ส.ค.) มีการประชุมคณะกรรมการนโยบายการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน (คณะกรรมการ PPP) ที่มี “เฮียกวง” สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯ เป็นประธานพอดี ก็มี “ผลวินิจฉัย” เกี่ยวเนื่องกับ กทพ. และ BEM พอดิบพอดี ... เมื่อที่ประชุมมีมติให้ กทพ.สามารถ “แก้ไขสัญญา” ตาม พ.ร.บ.การให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ. 2556 ที่มีสัญญาฉบับหนึ่งสิ้นสุดปี 2563 แต่ไม่ได้แก้ก่อนสัญญาจะสิ้นสุดใน 5 ปี ตามที่กฎหมายกำหนด .. เหมือนเปิด “ไฟเขียว” ในข้อกังวลที่หลายฝ่ายเคยให้ข้อสังเกตไว้ก่อนหน้านี้ว่าหากมีการต่อสัญญาสัมปทาน อาจจะขัดกฎหมายได้ .. ยิ่งคลายเปลาะนี้ไปได้ “เสี่ยโอ๋-ศักดิ์สยาม” ก็ไม่เห็นต้องคิดมากอะไรแล้วมั้ง!?.


กำลังโหลดความคิดเห็น