xs
xsm
sm
md
lg

ชกไม่สมศักดิ์ศรี!! “อัยการ”เลื่อนสั่งคดี “เสี่ยโอ๊คและพวก”ฟอกเงินกรุงไทย โบ้ย “ดีเอสไอ”ทำ “สำนวนหลวม” **ความจริงมันฟ้อง!! เปิดทางวิบาก "เมกะโปรเจกต์ขยะแสนล้าน" **“หมอปิยะสกล”ดับดรามาเอื้อ “ทุนใหญ่”คอนเฟิร์มผลเจรจาแก้ “พ.ร.บ.ยา”

เผยแพร่:   โดย: นกหวีด


ข่าวปนคน คนปนข่าว



** ชกไม่สมศักดิ์ศรี!! “อัยการ”เลื่อนสั่งคดี “เสี่ยโอ๊คและพวก”ฟอกเงินกรุงไทย โบ้ย “ดีเอสไอ”ทำ “สำนวนหลวม”ต้องสอบเพิ่มหลายประเด็น ทั้งที่วันก่อนก็เพิ่งหิ้ว “เสี่ยวิชัย”ไปส่งฟ้องคดีฟอกเงินกรุงไทยเหมือนกันแท้ๆ แล้วถ้า “ดีเอสไอ”โยกโย้อย่างที่ว่าจริง ก็ต้องตีปิ๊บประจานไปนานแล้ว ไม่ใช่ทำเหมือน“รู้เห็นเป็นใจ”ลากเรื่องไว้จน “นาทีสุดท้าย”เสียเวลาเปล่าประโยชน์ร่วม 3 เดือน ทั้งที่“คดีเสี่ยโอ๊ค”จะหมดอายุความสิ้นปีนี้แท้ๆ
พานทองแท้ ชินวัตร
เริ่มเข้าเค้า .. ตามคิวที่ พนักงานอัยการคดีพิเศษ 4 “เลื่อนสั่งคดี”กรณี “เสี่ยโอ๊ค”พานทองแท้ ชินวัตร ลูกชาย “บิ๊กบอส”ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ หนีคุก และพวก ตกเป็น“ผู้ต้องหา” .. ใน “คดีฟอกเงิน”จากการทุจริตอนุมัติเงินกู้ของธนาคารกรุงไทย ให้แก่เครือกฤษดามหานคร อันเป็นคดีที่ “บอร์ดคดีพิเศษ”กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) มีมติ “สมควรส่งฟ้อง”..ก่อนส่งต่อมาให้ สำนักงานอัยการ ในฐานะ “ทนายแผ่นดิน” เป็นพิจารณาผู้ส่งฟ้องต่อศาล .. ท่าทีของ “อัยการ”ก็เป็นไปตามที่พื้นที่นี้เคย “ดักคอ”ไว้ล่วงหน้าตั้งแต่เมื่อปลายเดือนก.ค.ที่ “ดีเอสไอ”โยน “เผือกร้อน” มาให้ .. ครั้งนั้นเราได้ยินข่าวในทำนอง “สำนวนหลวมโพรก”จนอาจต้องตีกลับไปให้ “ดีเอสไอ”ขันนอต กลับมาใหม่ .. แม่นอย่างกะตาเห็น จนต้องอุทานว่า ทำไมแทงหวยไม่ถูกอย่างนี้ เมื่อ ประยุทธ เพชรคุณ รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด ออกมาพรั่งพรู “เหตุผล”ในการสั่งเลื่อนคดีว่า .. “อัยการได้สั่งสอบสวนเพิ่มเติมในรายละเอียดทางคดีหลายประเด็นโดย ดีเอสไอ ยังไม่ได้ส่งผลสอบสวนเพิ่มเติมมาให้อัยการ” .. โบ้ยกลับไปว่า “ดีเอสไอ” ทำสำนวนมาไม่สมบูรณ์ พร้อมกับนัดฟังคำสั่งคดีอีกครั้งในวันที่ 10 ต.ค. .. เท่ากับเสียเวลาไปเปล่าๆ ปลี้ๆ ร่วม 3 เดือน ทั้งที่รับรู้โดยทั่วว่าคดีนี้จะ “หมดอายุความ”ไม่ เกินสิ้นปีนี้ .. และทั้งที่คดีได้รับความสนใจ และกำลังจะหมดอายุความ แถมมีเสียงคำราม “เล่นแ...เลย”ออกมาจาก “ตึกไทยฯ” กลับ “ยักแย่ยักยัน”ปล่อยให้เวลาล่วงเลยไปโดยเปล่าประโยชน์ ..
ประยุทธ เพชรคุณ  และ  พ.ต.อ.ไพสิฐ วงศ์เมือง
ตั้งข้อสังเกตมาหลายหนแล้วว่า การดำเนินคดีกับ "นายโอ๊คอ๊าค" ดูจะ“ล่าช้าผิดปกติ" ทั้งที่สำนวนไม่น่าจะสลับซับซ้อนอะไร .. ในเมื่อ “คดีใหญ่”ทุจริตอนุมัติเงินกู้ธนาคารกรุงไทย ตัดสินจบไปเป็นชาติ ผู้เกี่ยวข้องระดับสูงหลายราย ต้องเรียงแถวกันต้องคำพิพากษาไปจำคุกอยู่ในคุกนานแล้ว .. อีกทั้งในคำพิพากษาบางช่วง ยังพูดถึง "พานทองแท้ และพวก" ว่าร่วมรับประโยชน์จากการปล่อยกู้ให้กับบริษัทลูกของกฤษดามหานคร ไว้เสร็จสรรพ .. ไม่เท่านั้น วันก่อน “พนักงานอัยการคดีพิเศษ 4”ก็เพิ่งไปส่งฟ้อง “คดีฟอกเงินกรุงไทย”อีกสำนวน ที่มี วิชัย กฤษดาธานนท์ และพวกเป็นจำเลยแท้ๆ .. จับทางมาตั้งแต่ต้นเช่นกันว่า “อัยการ”ก็อ่านออกว่า กำลังจะถูกลากตกพุ่ม “จำเลยสังคม”ในข้อหา “ล้มมวย”ใน “คดีโอ๊คอ๊าค” .. การส่ง “สำนวนหลวมโพรก”มาให้ก็ไม่ต่างจาก โดนยัด “สเปโต”ให้มาน็อกมืดคามือ “อัยการ” ..เป็นเกมโชว์ออฟของ พ.ต.อ.ไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดี ดีเอสไอ ที่ขาเก้าอี้เริ่มไม่มั่นคง จึงออกแอกชั่น ส่งเรื่องให้อัยการแบบหลีกเลี่ยงไม่ได้ .. แต่ก็ไม่เข้าใจว่าแล้วทำไม “อัยการ”ถึงทำเหมือน “รู้เห็นเป็นใจ”ลากเรื่องไว้จน “นาทีสุดท้าย” ..เพราะหาก “ดีเอสไอ”สับ “เกียร์ว่าง”อย่างที่กล่าวหาไปจริง ก็ควรออกมาตีปิ๊บ กดดันให้หนัก ไม่ใช่ปล่อยล่วงมาถึงเวลา แล้วออกรูปนี้ .. แบบนี้เท่ากับ “ชกไม่สมศักดิ์ศรี”ทั้งคู่ เป็นบนเวทีมวย คงโดนไล่ลงทั้งคู่ไปแล้ว

**ความจริงมันฟ้อง!! เปิดทางวิบาก "เมกะโปรเจกต์ขยะแสนล้าน" เหตุหวังใช้ “อำนาจพิเศษ”จนเข็นไม่ขึ้น ก้าวข้าม“กฎหมายผังเมือง-รายงานสิ่งแวดล้อม”เปิดช่องปักหมุดสร้างโครงการบน“พื้นที่ต้นน้ำ - แหล่งน้ำสาธารณะ”ส่งผลกระทบสิ่งแวดล้อม-วิถีชีวิตชุมชน ย่อยยับ หนักกว่านั้นที่ “นครสวรรค์” เล็งใช้พื้นที่ “โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ”เกี่ยวพื้นที่อนุรักษ์ต้นน้ำลำธาร อีกต่างหาก
โรงไฟฟ้าขยะ
เคยชี้ทางสว่างไปแล้ว .. กรณี "เมกะโปรเจกต์แสนล้าน" โครงการโรงกำจัดขยะ-โรงไฟฟ้าขยะ ในความดูแลของ "กระทรวงมหาดไทย" ภายใต้การนำของ "บิ๊กป๊อก" พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา เจ้ากระทรวง .. ทั้งที่ใช้ "อำนาจพิเศษ" มาตรา 44 กรุยทาง “กฎหมายผังเมือง-รายงานสิ่งแวดล้อม” ผนวกกับ “กำลังภายใน”เร่งรัดสารพัดจาก “ระดับบริหาร” ..จากที่หวังให้ “ทางสะดวก”กลับกลายเป็น “ทางวิบาก”จนโครงการเข็นไม่ขึ้นในแทบทุกพื้นที่ทั่วประเทศ มาตลอด 4 ปีกว่า ที่ผ่านมา .. แม้จะปลดเปลื้องพันธนาการด้านกฎหมายได้เบ็ดเสร็จ แต่ที่แก้กันไม่ตก ก็คือ "แรงต้าน" จาก "ชุมชน" ที่ไม่ เปิดรับทุกโครงการที่เกี่ยวกับขยะ .. แน่นอนว่าปัญหาที่รุงรังขนาดนี้ หนึ่งก็มาจากเรื่องผลประโยชน์เบี้ยบ้ายรายทาง ที่โยงใยมาถึง “บิ๊ก คสช.” .. สอง ก็มาจาก“อำนาจพิเศษ”ที่ทำให้อะไรๆ ที่เคยมี “กฎหมายผังเมือง-รายงานสิ่งแวดล้อม”ป้องกันไว้ “ผิดเพี้ยนบิดเบี้ยว”ไปหมด .. ก็เมื่อก้าวข้าม 2 เงื่อนไขสำคัญที่ว่าไป ทีนี้ก็เดินหน้ากัน “ตามอำเภอใจ”นึกจะปักหมุดสร้างโครงการตรงไหนก็เอา “สะดวก”เข้าว่า .. หลายพื้นที่ไปตั้งตระหง่านเป็น “ไข่แดง”อยู่กลางชุมชน หรือจู่ๆ ไปเล็ง “พื้นที่ต้นน้ำ”เป็นที่สุมกองขยะ แบบนี้ใครมันจะเอาด้วย .. อย่างกรณีที่ ต.หนองบัว อ.หนองบัว จ.นครสวรรค์ ที่กำลัง ร้อนแรง ถึงขั้นตั้งขบวนเตรียมบุกทำเนียบฯ พร้อม “ขอถวายฎีกา”อยู่รอมร่อ .. มีการเปิดเผยบันทึกของชาวบ้าน กางไทม์ไลน์ เคลื่อนไหวต่อต้าน “โรงไฟฟ้าขยะ”มาอย่างต่อเนื่องข้ามปี .. แต่ละประเด็น มีพิรุธส่งกลิ่นโฉ่กว่ากองขยะเสียอีก ทั้งเรื่องใบอนุญาตสร้างอาคาร หรือผลประชาคม ที่ทำกันอย่างมี “เงื่อนงำ”ไล่เรียงออกมาเป็นสิบๆ ข้อ .. ล้วนแล้วแต่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ธรรมชาติ ระบบนิเวศ วิถีชีวิตชุมชน ทั้งสิ้น ..
พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา
ที่สำคัญๆ ก็มีอย่าง ที่ตั้งของโรงไฟฟ้าฯ ดันอยู่บริเวณใกล้กับ “แหล่งน้ำสาธารณะ”ที่เป็นแหล่งน้ำดิบผลิตน้ำประปาของ อ.หนองบัว .. หากมีการสร้างโรงไฟฟ้าจริง ก็ย่อมส่งผลกระทบต่อประชากรใน อ.หนองบัว ที่มีอาณาบริเวณเกือบ 1 ตร.กม. หรือ 6 แสนกว่าไร่ ประชากรนับแสนคน .. หนักไปกว่านั้น ที่ตั้งของโรงไฟฟ้าขยะ ยังอยู่ในพื้นที่ “โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ (เทือกเขาพระ-เขาสูง)” .. เป็นโครงการสำคัญในฐานะ “พื้นที่อนุรักษ์”และ “ฟื้นฟูต้นน้ำลำธาร”เสียด้วย .. ไม่เท่านั้น ยังมีรายงานด้วยว่า “เอกชน”เจ้าของโครงการ มีแผนในการนำขยะจากพื้นที่อื่น อาทิ “ชลบุรี - เพชรบูรณ์”มาเผากำจัด ที่ อ.หนองบัว เท่ากับว่าขัดนโยบายในการกำหนด “คลัสเตอร์”ของกระทรวงมหาดไทย ตลอดจนมติ ครม. อย่างชัดเจน .. คล้ายกับที่มีกระแสข่าวว่า จะมีการขนขยะจากแหล่งท่องเที่ยวดังอย่าง “เกาะเต่า”จ.สุราษฎร์ธานี ไปเป็นวัตถุดิบผลิตพลังงานไฟฟ้าที่ จ.ขอนแก่น ที่ออกมาโหวกเหวกกันว่า ทำไม่ได้ ผิดกฎหมาย นั่นแหละ .. หากทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ เรื่องผลประโยชน์เบี้ยบ้ายรายทางแล้ว ก็จะเห็นได้ว่า ความลักลั่น- ผิดเพี้ยน บิดเบี้ยว ทั้งหมด ก็มาจาก “อำนาจพิเศษ”แทบทั้งสิ้น .. ทั้งที่ชาวบ้านร้านตลาด ก็เห็นด้วยว่า “ปัญหาขยะล้นเมือง”เป็นเรื่องสำคัญที่ต้องแก้ไข แต่มีข้อแม้ว่า ต้องทำอย่าง “ถูกต้อง - โปร่งใส”ไม่ใช่ใช้ “ทางลัด”มายัดเยียดกันแบบนี้ .. เคยชี้ทางสว่างไปแล้วว่า ไหนๆ มาถึงขั้นที่ “เข็นไม่ขึ้น”ขนาดนี้แล้ว ก็ตัดใจทิ้งอดีต หันกลับมาตั้งลำใหม่ให้ตรงไปตรงมา ดีกว่า

** ดึงฟืนออกจากไฟ!! “หมอปิยะสกล”ดับดรามาเอื้อ “ทุนใหญ่”คอนเฟิร์มผลเจรจาแก้ “พ.ร.บ.ยา”ประเด็น “จ่ายยา”ให้คงไว้ตาม กม.เก่า ที่ “หมอ - หมอฟัน - สัตวแพทย์”จ่ายยาได้เฉพาะที่ขึ้นทะเบียนตำรับยา-ผู้ป่วยตัวเอง ส่วน “พยาบาล”จ่ายยาได้ในหน่วยงานรัฐ ตามกฎกระทรวงเหมือนเดิม
ตัวแทนกลุ่มเภสัชกร คัดค้าน พ.ร.บ.ยา
ตีธงถอยอีกเรื่อง .. ปัญหาการปรับแก้ไขเพิ่มเติม “พ.ร.บ.ยา”ร่าง พระราชบัญญัติยา พ.ศ…. แทน พ.ร.บ.ยา พ.ศ.2510 ที่ “อย.” สำนักงานอาหารและยา เป็นเจ้าภาพ .. หลักใหญ่ใจความก็เป็นการแก้กฎหมายให้ “ทันสมัย”แต่ก็เกิดดรามาอย่างหนัก เมื่อช่วงสัปดาห์ก่อน .. โดยเฉพาะประเด็นที่เปิดกว้างให้“ขยาย”ผู้ประกอบวิชาชีพอื่น นอกเหนือจาก “เภสัชกร”สามารถ “จ่ายยา”ได้ .. เป็นประเด็นที่ร้อนแรง ถูก“ขยายความ”ว่า เป็นรีเควส มาจาก “ทุนใหญ่”ที่ตระเตรียมแตกไลน์ธุรกิจ ตั้งร้ายขายยาใน “ร้านสะดวกซื้อ”แต่ไม่สามารถหา “เภสัชกรประจำ”ได้เพียงพอ .. ตรงนี้จริงเท็จอย่างไร ไม่ทราบ แต่ก็ทำให้รัฐบาลเต้นเป็นเจ้าเข้า สั่งการให้หาทางลงโดยด่วน ด้วย “องค์กรเภสัชฯ”เริ่มก่อหวอด คัดค้านกันอย่างหนัก .. ร้อนถึง นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร รมว.สาธารณสุข และ นพ.เจษฎา โชคดำรงสุข ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ต้องออกมารับหน้า เจรจากับกลุ่มคัดค้าน .. ประเด็นสำคัญ คือการปรับแก้ “มาตรา 22”ให้กลับไปใช้ “ข้อความเดิม”ตาม พ.ร.บ.ยา ฉบับเก่า ..
นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร
กล่าวคือ การจ่ายยาตามวิชาชีพต่างๆ ได้คงเดิม หรือนอกเหนือจาก “เภสัชกร”แล้ว “หมอ - หมอฟัน - สัตวแพทย์”ยังสามารถจ่ายยาได้ตามที่ขึ้นทะเบียนตำรับยา และสำหรับผู้ป่วยเฉพาะรายของตนเท่านั้น .. ขณะที่ “ พยาบาล”ให้เฉพาะพยาบาลในหน่วยงานรัฐ สามารถจ่ายยาได้ เหมือนเดิมตามที่กำหนดใน “กฎกระทรวง”ที่เหลือก็เป็นประเด็นยิบย่อยทางเทคนิคอื่นๆ .. ทั้งหมดทั้งมวล ตรงตามผลการเจรจาของ“หมอเจษฎา”กับ “ผู้แทนสภาเภสัชกรรม”และผู้เกี่ยวข้อง .. ถือเป็นผลงานทิ้งทวนเก้าอี้ปลัดฯ ที่เจ้าตัวกำลังจะเกษียณพอดี ก่อนที่ “หมอปิยะสกล”จะออกมาคอนเฟิร์มอีกรอบ.. หลังจากนี้ ก็จะส่งให้ “อย.”ไปปรับแก้ตามข้อสรุปอีกครั้ง แล้วเสนอต่อ รมว.สาธารณสุข ก่อนนำเรื่องเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี .. ถือว่า “ดึงฟืนออกจากไฟ”ได้ทันเวลา.


ช.ชฎา


กำลังโหลดความคิดเห็น