“ประยุทธ์” เผยคนไทยคิดผิดอยากมีความเป็นอยู่ดีแต่ไม่เข้าระบบภาษี ชี้ถ้ามัวแต่เรียกร้องจะมีคนให้แล้วก็ผิด แขวะจำนำข้าวไม่ใช่นึกตั้งราคาก็ตั้ง ลั่นมีอำนาจล้นแต่ไม่เคยสั่งลงโทษ กฎหมายให้ความเป็นธรรม ให้สู้คดี ใครไม่สู้ก็แล้วไป
วันนี้ (1 ส.ค.) เมื่อเวลา 09.30 น. ที่อิมแพค เมืองทองธานี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เป็นประธานเปิดโครงการประชารัฐ สวัสดิการกับการพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก พร้อมเปิดตัวโครงการใช้โทรศัพท์มือถือรับชำระเงินจากผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ผ่านแอปพลิเคชัน “ถุงเงินประชารัฐ” โดยเป็นความร่วมมือกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงการคลัง และธนาคารกรุงไทย เพื่อช่วยเหลือร้านค้าโชวห่วยและผู้ค้ารายย่อย โดยมีผู้ร่วมงานกว่า 1,000 คน
โดยนายกฯ กล่าวเปิดงานตอนหนึ่งว่า กล่าวว่า วันนี้ร้านค้าประชารัฐ หลายคนกังวลเรื่องระบบภาษี วันนี้ได้ถอนตัวจากการเป็นสมาชิกบัตรสวัสดิการแห่งรัฐเพราะกลัวสรรพากรไปตรวจสอบ ถามว่าทำไมต้องกลัว ถ้ากลัวแบบนี้จะเข้าระบบอะไรไม่ได้ แล้วจะพัฒนาตัวเองไปได้อย่างไร ให้จดทะเบียนเข้าระบบภาษีก็ไม่เอา กลายเป็นว่ารัฐบาลนี้รังแก ถามว่าที่ผ่านมา รังแกรัฐบาลหรือไม่ มีรายได้หลายล้านบาทต่อปี แต่กลับไม่เสียภาษี การเสียภาษีจริงๆ แล้วไม่กี่บาท ทำไมไม่ช่วยกันเสียสละตรงนี้ รัฐบาลไม่สามารถที่จะไปเพิ่มหรือกำหนดภาษี ได้ในเวลานี้มันทำยากเพราะหลายอย่างยังไม่เข้มแข็งเพียงพอ จะต้องสร้างความเข้มแข็งด้วยกฏหมายและระบบก่อน เพื่อให้เกิดความเท่าเทียมและมีช่องทางมีโอกาสในการเข้ามาค้าขาย ขณะเดียวกัน ทุกคนต้องตอบแทนประเทศด้วยการเข้าสู่ระบบภาษี ถ้ามีรายได้ไม่ถึง 300,000 บาทต่อปีก็ไม่ต้องเสียภาษีอยู่แล้ว แต่ข้าราชการก็ต้องเสียภาษี ตนเองก็เสียภาษีมาตั้งแต่เด็ก วันนี้ก็ยังเสียอยู่ ถ้ารายได้เราเกินกว่าที่กำหนดไว้ก็ต้องเสียภาษี ทุกคนจะได้มีส่วนร่วมในการพัฒนาประเทศ
นายกฯ กล่าวว่า ถ้าทุกคนต้องการสาธารณูปโภคและความเป็นอยู่ที่ดีแต่กลับไม่อยากเสียภาษี แบบนี้หลักคิดผิด สิ่งที่ตนพูดต้องการจะสร้างภูมิคุ้มกันให้ประชาชนและประเทศ วันนี้เราอยู่ในช่วงโอกาสบ้านเมืองสงบสุข ซึ่งสงบสุขมา 4 ปีแล้ว ลืมไปหรือยัง ถ้าบ้านเมืองสงบเราก็สามารถทำอะไรต่างๆ เพื่อพัฒนาบ้านเมืองได้ และสิ่งที่รัฐบาลทำก็ต้องใช้เงินใช้ทองในการลงทุน ถ้าเราสามารถคืนตรงนี้ได้ ก็จะสามารถนำเงินกลับมาให้ตรงอื่นซึ่งยังมีอีกหลายอาชีพอิสระอีกมากมายที่มีรายได้ต่ำ รัฐบาลต้องดูแล หากทุกคนเข้าสู่ระบบ ปฏิบัติตามกฎหมาย เราก็จะสามารถดูแลจัดสรรประมาณลงไปได้
นายกฯ กล่าวว่า วันนี้การค้าการลงทุนต่างๆของประเทศ ดีขึ้นเพราะเขามีความเชื่อมั่นในรัฐบาลนี้ไม่ต้องรอรัฐบาลหน้า ต่างประเทศยินดีที่จะมาลงทุนทำการค้าในประเทศมากขึ้น วันหน้าถ้าเราเป็นประชาธิปไตยมากขึ้น มันก็ต้องดีขึ้นไปเรื่อยๆ ถ้าเรามาล้มกันตอนนี้ มันจะไปกันไม่ได้ แล้วคิดว่าจะเริ่มต้นใหม่เมื่อไหร่ วันนี้เราเริ่มต้นมา 4 ปี หลายอย่างที่เกิดขึ้นในบ้านเราแสดงถึงความเป็นหนึ่งเดียว เช่นการช่วย 13 ชีวิตทีมหมูป่า สิ่งเหล่านี้เราไม่จำเป็นต้องโฆษณาหรือเล่าอะไรมากมายมันเป็นเรื่องจริง ตนไปทุกประเทศเขาชื่นชมประเทศไทย เพราะแสดงความเป็นหนึ่งเดียว ความเป็นเอกภาพของเรา นั่นคือความภาคภูมิใจเราของ แล้วทำไมเราไม่ทำให้คนของเราเป็นเอกภาพเป็นหนึ่งเดียวให้ได้ในการที่จะเดินหน้าสานฝันของพวกเรา ไปสู่ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ที่จะเป็นประเทศที่มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน เคยมีใครพูดแบบนี้ไหม กลับไปคิดทบทวนดูหรือจะแค่รอฟังว่าจะให้นู่นจะให้นี่ ขอถามว่ายั่งยืนหรือไม่
พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ถ้าเราโทษว่าคนรวย ทำไมถึงรวยกันมาก อย่าลืมว่าเรามีการค้าแบบทุนเสรี ทั้งโลกประชาธิปไตยเป็นแบบนี้ ไม่ใช่ผูกขาด เป็นไปตามกลไกการค้าเสรีของโลก เราจะต้องเข้มแข็งสู้กับเขาให้ได้ ไม่ใช่หยุดตัวเองแล้วรอการช่วยเหลือตลอดเวลา จนไม่มีวันที่จะลืมตาอ้าปากตัวเองได้ แล้วก็โทษกันมันก็ไปไม่ได้ ประเทศต้องไปด้วยคนหลายกลุ่มหลายฝ่าย และขอบอกว่ารัฐบาลไม่ได้เอาภาษีแวตมาใช้ เพราะส่วนใหญ่ เป็นภาษีคืนสู่ท้องถิ่น เพราะเราตัดสินใจแล้วว่าจะมีท้องถิ่น เพราะท้องถิ่นเก็บภาษีได้ประมาณ 70,000 ล้านบาท แต่ต้องใช้ประมาณ 300,000 ล้านบาทต่อปี รัฐบาลก็ต้องนำงบกลางจากภาษีส่วนอื่นไปเติมอีก 260,000 ล้านบาทต่อปี เพราะฉะนั้นอยากให้ทุกคนร่วมมือสร้างความเข้มแข็งและอดทน มันจะดีขึ้นมาเอง
“ถ้ามัวแต่บ่นและเรียกร้องกันมาก เสร็จแล้วก็จะมีคนมาให้ท่าน แล้วมันก็ผิด พอผิดมาก็เดือดร้อน ก็ต้องหยุด หลายอย่างเกิดขึ้นมาแล้ว เพราะเคยมีคนให้อะไรท่านมาแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการขายสินค้าเกษตร มันให้อย่างนั้นไม่ได้ วันนี้รัฐบาลให้ก็ต้องดูในเรื่องของกติกา กฎหมายว่าอย่างไร ราคาการรับจำนำข้างยุ้งฉางเป็นอย่างไร 3 ปีเฉลี่ยอย่างไรถึงจะตั้งราคาได้ ไม่ใช่นึกจะตั้งอะไรก็ตั้งออกมา มันผิดไปทั้งหมดและผิดกลไกการค้าโลกด้วย สิ่งเหล่านั้นเราพอใจแต่ประเทศชาติเสียหาย ผมไม่อาจไปกล่าวอ้างใคร เป็นเรื่องของกระบวนการยุติธรรมที่จะว่ามา ตั้งแต่ผมเข้ามายังไม่เคยสั่งให้ลงโทษใคร แม้ผมจะมีอำนาจมากก็ตาม ผมเพียงแต่ให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามกฎหมายที่มีอยู่ ถ้าไม่ทำก็ลงโทษ ซึ่งต้องมีหลักฐานทางกฎหมายให้ความเป็นธรรม ให้มีการสู้คดี ใครไม่สู้ก็แล้วไป กฎหมายเป็นอย่างนี้ รัฐบาลระมัดระวังทุกอย่าง จึงอยากฝากไปถึงนักการเมือง พรรคการเมืองต้องระมัดระวังการหาเสียงในอนาคต วันนี้ผมไม่ได้มาพูดการเมือง แต่พูดถึงประเทศที่จะอยู่อย่างไรในอีก 20 ปีข้างหน้า เพื่อลูกหลานของเรา ถ้าโครงสร้างเศรษฐกิจไม่เข้มแข็งก็จะเดือดร้อนไปเรื่อยๆ ทุกอย่างก็จะล้มลงมาทั้งหมด เหมือนประชาธิปไตยเรา ล้มโอนเอนไปโอนเอนมาอยู่อย่างนี้ เราก็ตั้งมันให้ตรงเท่านั้นเอง สร้างให้มันเข้มแข็งขึ้น นั่นคือประชาธิปไตยไทยเรา เราจะต้องดูแลคนของเรา ถ้าเรามองประชาธิปไตยเหมือนโลกตะวันตกทั้งหมด ที่เห็นเขาดี ต้องไม่ลืมว่ากว่าเขาจะมีวันนี้ต้องเจออะไรมาบ้าง อาจจะเจอยิ่งกว่าเรา มีการสู้รบ แต่วันนี้เขาไม่มีเพราะเห็นว่าสิ่งเหล่านี้เป็นปัญหา จึงลดความขัดแย้งให้มากที่สุด แต่ของเราพยายามจะสร้างกันไปเถอะ เรายังไม่เคยเจอชะตากรรมแบบนั้น สู้รบสงครามกลางเมืองตายเป็นล้านๆ คน เราไม่เคยเจอ เราไม่ต้องไปรบกับใคร และไม่เคยเป็นเมืองขึ้นของใคร เรามีความสุขมาโดยตลอด รัฐบาลจึงต้องทำอะไรให้มากขึ้นเรื่อยๆ อย่าให้ถึงเวลาที่จะต้องมีเหตุการณ์แบบนั้นเกิดขึ้นแล้วถึงจะมาร่วมมือร่วมใจกัน มันไม่ใช่ มันต้องร่วมมือกันในยามสงบสุขแบบนี้ ไม่เช่นนั้นจะเดินหน้าไปไม่ได้” นายกฯ กล่าว