“ประยุทธ์” เปิดแอปพลิเคชัน “ถุงเงินประชารัฐ” ช่วยผู้ค้าโชวห่วย ย้ำสร้างความเข้มแข็ง ศก.ฐานรากยั่งยืนมั่นคงดีกว่าประชานิยม ยก 7 ประเทศล้มละลายใช้จ่ายเกินตัวหวังสนอง ปชช.ทางการเมือง ยันรัฐบาลเดินหน้าตามกรอบงบประมาณ ยึด ปชช.ศูนย์กลาง
วันนี้ (1 ส.ค.) เมื่อเวลา 09.30 น. ที่อิมแพค เมืองทองธานี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เป็นประธานเปิดโครงการประชารัฐ สวัสดิการกับการพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก พร้อมเปิดตัวโครงการใช้โทรศัพท์มือถือรับชำระเงินจากผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ผ่านแอปพลิเคชัน “ถุงเงินประชารัฐ” โดยเป็นความร่วมมือกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงการคลัง และธนาคารกรุงไทย เพื่อช่วยเหลือร้านค้าโชวห่วยและผู้ค้ารายย่อย โดยมีผู้ร่วมงานกว่า 1,000 คน
โดยนายกฯ กล่าวเปิดงานตอนหนึ่งว่า การจัดงานวันนี้ถือเป็นอีกก้าวหนึ่งของการทำงานที่ต้องร่วมมือกันในลักษณะของประชารัฐ เพื่อช่วยกันพัฒนาและเสริมสร้างความเป็นอยู่ที่ดีของประชาชนอย่างทั่วถึงและยั่งยืน วันนี้ทุกคนทราบดีว่าเรากำลังเดินหน้าปตามยุทธศาสตร์ชาติซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประเทศไทยที่รัฐบาลยึดประชาชนเป็นศูนย์กลางในทุกๆ ด้านโดยมีประเทศเป็นส่วนสำคัญ ทุกคนจะได้เห็นอนาคตของตัวเอง ที่ผ่านมาการทำงานของทุกๆ รัฐบาลตอบสนองแค่เป็นรายปี ซึ่งอาจไม่ตอบสนองความต้องการของประชาชนอย่างแท้จริง
“เพราะฉะนั้น ที่กล่าวกันว่างานการเมือง หรือประชาธิปไตย ก็จะต้องมองประชาชนเป็นศูนย์กลางของการทำงาน ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลไหนก็ตาม สิ่งที่รัฐบาลปัจจุบันทำในวันนี้ ยืนยันว่าเป็นไปตามกรอบของงบประมาณ หลายคนต้องการงบประมาณจำนวนมากขึ้น หรือต้องการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น ซึ่งจุดนี้เราอย่าลืมรายได้ของประเทศด้วยที่จำเป็นต้องใช้หลายอย่าง สิ่งที่จำเป็นคือการลงทุนประเทศ เพื่อประชาชนทุกคนและทุกกลุ่มรายได้ รัฐบาลจึงจำเป็นต้องสร้างความเข้มแข็งจากภายในให้กับทุกคนตามแนวทางของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๙ และในหลวงรัชกาลที่ ๑๐ ก็ทรงสานต่อในเรื่องเหล่านี้ เราจึงจำเป็นต้องมียุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี และแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ” นายกฯ กล่าว
นายกฯ กล่าวว่า วันนี้ถือเป็นความก้าวหน้าอีกขั้นของบัตรสวัสดิการประชารัฐ ที่ผ่านมาได้มีการตั้งร้านค้าประชารัฐในหลายพื้นที่ ถือเป็นการทำงานในระยะที่ 1 มีการกำหนดรายได้ขั้นต่ำ ค่าใช้จ่ายแต่ละปีซึ่งถ้ารัฐบบาลไม่ลงไปช่วยก็คงอยู่กันไม่ได้ แม้การดำเนินการจะไม่ได้ถึง 70 ล้านคนของประชากรที่มี แต่ก็ได้มากถึง 11.4 ล้านคนในขณะนี้ รัฐบาลต้องคิดและแก้ไขปัญหาให้เป็นระบบไม่ใช่คิดแต่จะให้อย่างเดียว ถามว่าแล้วจะเอาที่ไหนมาให้กันตลอด เมื่อรายได้ของประเทศมีอยู่เท่านี้ เราไม่เคยไปรบกวยประชาชน โดยเฉพาะผู้ที่มารายได้น้อยและผู้ที่อยู่ในระบบภาษี แม้บางคนจะไม่ได้เสียภาษีในจุดนี้แต่อย่าลืมว่าเราจ่ายภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) และทุกคนต้องเข้าใจตรงนี้ รัฐบาลเองก็ชะลอการขึ้นภาษี VAT มาหลายปีแล้ว ซึ่งตามกฎหมายจะต้องขึ้นทุกปี แต่รัฐบาลก็ใช่มติ ครม. เพื่อไม่ให้ประชาชนเดือดร้อน อยากให้เข้าใจว่า ทุกๆอย่างต้องเป็นไปตามกฎหมาย กฎระเบียบ หรือ พ.ร.บ.การเงินการคลัง เพราะฉะนั้นในวันข้างหน้าใครจะมาบอกว่าจะทำโน่นทำนี่ให้โดยไม่บอกว่าจะเอาเงินมาจากไหน ต้องพิจารณาให้ดี เพราะสิ่งเหล่านี้จะเป็นปัญหาของประเทศ
นายกฯ กล่าวว่า วันนี้เราจำเป็นต้องตั้งงบประมาณแบบขาดดุล เพราะเราไม่มีรายได้ที่เกินดุล และ 4 ปีที่ผ่านมารัฐบาลได้ดำเนินโครงการต่างๆ จำนวนมากโดยเฉพาะการสร้างถนนหนทาง มีกว่าหลายพันกิโลเมตร มีทางรถไฟรางคู่อีกหลายเส้นทาง ทุกอย่างต้องใช้งบประมาณจำนวนมาก รัฐบาลพยายามแก้ไขปัญหาผู้มีรายได้น้อย เพราะรู้ดีว่า ความจนมันลำบาก และเป็นสาเหตุของความขัดแย้ง สาเหตุของการบิดเบือน ทำให้บ้านเมืองเกิดความระส่ำระส่าย วันนี้ต้องพิจารณาว่า 4 ปีที่ผ่านมารัฐบาลนี้ทำอะไรไปบ้าง อาจจะถูกใจบ้างไม่ถูกใจบ้าง แต่อย่าลืมว่าที่ไม่ถูกใจแต่รัฐบาลจำเป็นต้องทำ เพราะมีกฎหมายบังคับอยู่ ตราบใดที่ทำได้และพอใจก็ต้องร่วมมือกัน การใช้จ่ายงบประมาณของรัฐบาลต้องระมัดระวัง เพราะทุกอย่างเป็นกฎหมาย จึงอยากขอร้องว่าอะไรดีก็ให้แนะนำมา แม้เราจะไม่พร้อมที่จะทำในวันนี้ แต่ก็ต้องมีความพร้อมในวันข้างหน้า
“ทุกคนจึงจำเป็นต้องฟังสิ่งที่รัฐบาลพูด หลายคนไม่ชอบฟังอะไรทั้งสิ้น ชอบไปอ่านข้อความสั้นๆ ในโทรศัพท์บ้าง ในโซเชียลมีเดียบ้าง เพราะมันสั้นดี แต่เนื้อหาสั้นๆ เหล่านั้นมันกินใจ ซึ่งมีสองอย่างด้วยกันคือ ทำให้เกิดความรักสามัคคี หรือทำให้เกิดความแตกแยกแบ่งพวกแบ่งฝ่าย ข้อความส่วนใหญ่เหล่านี้มักจะอยู่ในโซเชีลมีเดียซึ่งมีทั้งดีและไม่ดี ดังนั้นทุกคนจึงต้องมีภูมิคุ้มกันของตัวเอง ดูให้ละเอียดรอบคอบ และถ้าไม่ใช่ก็ไม่ต้องไปเชื่อ แต่ถ้าไม่ยอมฟังอะไรเลย ไม่ยอมฟังรัฐบาลหรือกระทรวงพาณิชย์พูด ก็จะขัดแย้งไปทั้งหมด เพราะอย่าลืมเรามีคนหลายกลุ่มหลายฝ่าย มีทั้งคนดีและไม่ดี ดังนั้นถ้าเราไปฟังคนไม่ดีมากๆ ก็จะทำให้กิจการที่ทำในวันนี้ล่มไป เดินหน้าต่อไปไม่ได้ แล้วเราจะอยู่กันอย่างไร ถ้ารัฐบาลต้องอุดหนุนทุกอย่าง ทุกประเทศก็อยู่ไม่ได้ ก่อนหน้านี้มี 7 ประเทศเคยมีรายได้สูง ประเทศพัฒนาแล้ว แต่รัฐบาลใช้วิธีการประชานิยมที่ไม่ถูกต้องซึ่งมีทั้งดีและไม่ดี มีการใช้จ่ายที่เกินตัวเพื่อตอบสนองความต้องการประชาชนเพื่อหวังผลทางการเมืองแต่เพียงอย่างเดียว ซึ่งเป็นอันตราย 7 ประเทศที่กล่าวมานั้นล้มละลายลงไปแล้ว ทุกอย่างล้มลงทั้งหมด ระบบการเงินการคลัง เงินเฟ้อ แม้บางประเทศจะมีรายได้จากการขายน้ำมันก็ย่ำแย่เพราะรัฐบาลให้ทุกอย่างเพื่อรักษาอำนาจในการเป็นรัฐบาล แต่รัฐบาลนี้ของผมไม่ต้องการ รัฐบาลนี้ต้องการวางพื้นฐานให้กับประชาชนทุกคน และไม่ว่าใครจะเป็นรัฐบาลต่อไป ถ้าทุกคนคิดว่าดีก็ช่วยกันสานต่อ” นายกฯ กล่าว