ประธาน ป.ป.ช.ปัดนำคดีค้าง ป.ป.ช.บีบอดีต ส.ส.เพื่อไทยเข้าร่วมกลุ่มสามมิตร ยันทำหน้าที่แบบมืออาชีพ ไม่ยอมให้ครอบครัวเสื่อมเสีย รับถูกโยงตลอดจากสัมพันธ์ใกล้ชิด “ประวิตร” แต่ถือเป็นจุดแข็ง ไม่ใช่จุดอ่อน เผยคดีอดีต ส.ส.เพื่อไทยร่วมลงชื่อในกฎหมายนิรโทษกรรมใกล้สรุปแล้ว พร้อมเร่งคดีที่เกี่ยวพันนักการเมืองให้จบก่อนเลือกตั้ง
วันนี้ (25 ก.ค.) พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ ประธานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) กล่าวถึงกรณีที่มีข่าวว่ามีการนำคดีของอดีต ส.ส.เพื่อไทย ที่ร่วมลงชื่อในร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมไปต่อรองเพื่อให้เข้าร่วมกับกลุ่มสามมิตรว่า เป็นข่าวที่ไม่มีมูลความจริง พร้อมกับยืนยันว่าทุกคดีที่อยู่ในการพิจารณาของ ป.ป.ช.ดำเนินการตามข้อกฎหมายข้อเท็จจริง และพยานหลักฐาน ซึ่งตามกฎหมายใหม่มีความเข้มข้นมากขึ้น ป.ป.ช.ต้องทำงานป็นมืออาชีพ ตรวจสอบได้ เพราะมติกรรมการต้องมีหลักฐานการลงมติของแต่ละคน ไม่มีใครมาต่อรองได้ ที่มีข่าวลักษณะนี้ออกมาก็เป็นเพราะการเมืองมีการแข่งขันกันทำให้เกิดการต่อสู้ทุกรูปแบบ แต่ตนเป็นเจ้าหน้าที่รัฐทำหน้าที่ตรวจสอบอาจส่งผลกระทบต่อผู้ที่มุ่งหวังจะเป็นผู้แทนทำให้มีเสียงลือออกมา แต่ขอยืนยันว่าเป็นไปไม่ได้ เพราะ ป.ป.ช.ต้องตอบสังคมให้ได้ในทุกคดีที่มีการวินิจฉัย
พล.ต.อ.วัชรพลกล่าวด้วยว่า ตลอดชีวิตที่เป็นข้าราชการรู้จักผู้ใหญ่ในบ้านเมืองมาก แต่เมื่อมาทำหน้าที่สำคัญกับประเทศชาติก็ต้องประพฤติและวางตัวอย่างถูกต้อง เพราะตนและครอบครัวต้องรับผลการกระทำ
“ขอให้มั่นใจว่าไม่มี ป.ป.ช.คนไหนจะทำในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง เพราะทุกคนทำงานหนัก และส่วนตัวไม่คิดว่าการที่มีสายสัมพันธ์กับ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี จะเป็นจุดอ่อนในการทำงาน แต่มองว่าเป็นจุดแข็งเพราะทำให้ต้องประพฤติตนยิ่งกว่าคนอื่น เนื่องจากถูกเฝ้ามองมากกว่าคนอื่น และถูกโยงตลอดเวลา ทำให้ประพฤติตัวยาก กลายเป็นกรอบชีวิตที่ต้องเสียสละ ทั้งๆ ที่อายุขนาดนี้อยากพักผ่อนแต่เมื่อรับหน้าที่ก็ต้องทำให้ดีที่สุด จึงไม่คิดว่าการที่ถูกตรวจสอบจากสายสัมพันธ์ดังกล่าวจะเป็นจุดอ่อน กลับมองเป็นจุดแข็งเพราะเมื่อถูกตรวจสอบมากขึ้น ก็ไม่มีทางรอดพ้นสายตาประชาชนหรือสื่อมวลชนได้ เป็นเรื่องดีทำให้ใครก็ตามที่ต้องการเข้ามาหา ผมก็จะต้องระมัดระวังไปด้วย เป็นเรื่องงดงามของกระบวนการตรวจสอบ”
ส่วนความคืบหน้าของคดีนี้ได้รับรายงานว่าเดินหน้าไปมากจนใกล้จะสรุปเสนอให้กรรมการ ป.ป.ช.วินิจฉัยได้แล้ว แต่ยังไม่สามารถบอกได้ว่ามีความผิดหรือไม่ ต้องรอดูการสรุปสำนวนที่จะส่งให้ ป.ป.ช.พิจารณาก่อน หากส่งมาตนก็จะนำเรื่องเข้าสู่ที่ประชุมภายใน 30 วันตามที่กฎหมายกำหนด และถ้าเร่งได้อยากให้เรื่องเกี่ยวกับการเมืองทั้งหมดจบก่อนการเลือกตั้ง ถ้าผิดก็ว่าไปตามผิด จะได้ไม่พะว้าพะวังว่า ป.ป.ช.จะช่วย ไปดึงหรือกลั่นแกล้งใคร เพื่อจะได้เริ่มการเมืองใหม่ นักการเมืองที่จะเข้ามาจะได้ไม่มีจุดบกพร่อง ให้ทำงานกันอย่างเต็มที่