เมืองไทย 360 องศา
เหมือนกับได้เห็นสัญญาณบางอย่างออกมาจากปากของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ระบุอย่างชัดเจนออกหลังจากเกิดเหตุสอง
เหตุการณ์ในเวลาไล่เลี่ยกัน นั่นคือ เหตุการณ์ “ทีมหมูป่า” ติดอยู่ในถ้ำหลวง-ขุนน้ำนางนอน อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย และหลังจากนั้นไม่กี่วัน ก็เกิดเหตุเรือบรรทุกนักท่องเที่ยวล่ม ที่จังหวัดภูเก็ต ซึ่งในเรือส่วนใหญ่หรือเกือบทั้งหมดเป็นนักท่องเที่ยวชาวจีน
โดยตอนนั้น พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา กล่าวว่า เหตุการณ์ที่ถ้ำหลวง ไม่น่าหนักใจมากนักแล้ว เพราะเริ่มมีแนวโน้มคลี่คลายไปในทางที่ดีมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ขณะเดียวกัน อีกฟากหนึ่งก็ยอมรับว่า “รู้สึกหนักใจกับเหตุการณ์เรือล่มที่จังหวัดภูเก็ต”
แม้ว่าจะไม่ใช่ระดับผู้บริหารประเทศสูงสุดอย่าง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็สามารถรับรู้ถึงประสาทความรู้สึกว่าจะต้องส่งผลกระทบตามมามากมายอย่างแน่นอน เอาเป็นว่านับตั้งแต่ทราบข่าวว่า เรือฟินิกซ์ ไดร์วิง ล่มที่บริเวณเกาะเฮ จังหวัดภูเก็ตเมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม ที่ผ่านมา ในช่วงที่เกิดมรสุมคลื่นลมแรง แม้ว่าในวันดังกล่าวจะมีเรือบรรทุกนักท่องเที่ยวอีกหนึ่งลำที่จมลงพร้อมๆ กัน แต่ก็ไม่มีผู้เสียชีวิต แต่สำหรับเรือฟินิกซ์นั้น มีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก จนล่าสุดวันที่ 10 กรกฎาคม จากการแถลงของศูนย์บัญชาการเหตุการณ์ช่วยเหลือผู้ประสบภัยเหตุเรือล่มจังหวัดภูเก็ต ระบุว่า สามารถพบศพนักท่องเที่ยวชาวจีนแล้วจำนวน 44 ศพ และยังสูญหายและต้องค้นหาอีกจำนวน 3 ราย
หากพิจารณาจากจำนวนตัวเลขผู้เสียชีวิตจำนวน 44 ศพ และยังสูญหายอีก 3 ราย ซึ่งหนึ่งในสามรายนั้นก็เป็นศพที่ติดอยู่ใต้เรือฟินิกซ์ นั่นเอง นับจากจำนวนถือว่าสูงมาก น่าเศร้าสลดใจ
แน่นอนว่า จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้ต้องมาพิจารณากันว่า “มาตรฐานด้านความปลอดภัย” ในเรื่องการดูแลนักท่องเที่ยวทั้งคนไทยและต่างชาติมีมาตรการแค่ไหน ที่สำคัญ มีการบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจังแค่ไหน
แน่นอนว่า หากแยกเรื่อง “ทัวร์ศูนย์เหรียญ” ที่เป็นตัวการบ่อนทำลายการท่องเที่ยวออกมาก่อน มาโฟกัสเฉพาะหน้าเฉพาะกรณีเหตุเรือล่มเพียงอย่างเดียวก่อน ก็ต้องบอกว่าร้ายแรงมาก และสลดใจมากที่มีคนจำนวนมากต้องมาเสียชีวิตจากการจมน้ำพร้อมๆ กันหลายสิบศพ ยิ่งในยุคปัจจุบันที่มีการสื่อสารในยุคโซเชียลมีการเผยแพร่คลิปในเหตุการณ์มันก็ยิ่งเพิ่มความน่าสะพึง น่าตระหนกตกใจเพิ่มเข้าไปอีก
และแน่นอนว่า สิ่งที่ตามมาก็คือ “อารมณ์ความรู้สึกอ่อนไหว” ตามมาทันที และอย่าได้แปลกใจที่พอมีการเผยแพร่คำพูดของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ที่เน้นย้ำในเรื่อง “ทัวร์ศูนย์เหรียญ” มาก่อน โดยชี้ให้เห็นว่าเป็นตัวการในการสร้างความเสียหาย ไม่เชื่อฟังคำเตือนเป็นเรื่องของการทำธุรกิจ “นอมินี” ที่มีคนจีนด้วยกันเองนำทัวร์เข้ามา ใช้เรือของตัวเอง ความหมายก็คือเป็นธุรกิจของคนจีนที่มาแย่งทรัพยากรคนไทยอย่างผิดกฎหมาย และคราวนี้ก็มาเกิดกรณีเรือฟินิกซ์ล่ม ซึ่งก็เป็นธุรกิจของคนจีนที่ใช้คนไทยเป็นนอมินี ซึ่งก็คือพวก “ทัวร์ศูนย์เหรียญ” นั่นแหละ
แต่เมื่อมีการแชร์คำพูดของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และ รัฐมนตรีว่การกระทรวงกลาโหม ในแบบสั้นๆ ว่า “คนจีนทำกันเอง” หรือ “คนจีนทำคนจีนกันเอง” มันก็ยิ่งกระพืออารมณ์โกรธให้กับบรรดาญาติๆ และคนจีนทั่วไปที่ได้เห็น ยิ่งในยุคสื่อโซเชียลแบบนี้มันก็ไปไกลแบบลามทุ่ง
เรื่องดังกล่าวถือว่าเป็นเรื่องน่ากังวลไม่น้อย หากบ้านเรายังส่งเสริมการท่องเที่ยว และเม็ดเงินจากการท่องเที่ยวจำนวนมหาศาล เฉพาะจำนวนนักท่องเที่ยวที่เข้ามาในประเทศไทยรวมกันถึง 30-40 ล้านคน ในจำนวนนั้นมีนักท่องเที่ยวชาวจีนกว่า 10 ล้านคน สร้างรายได้ไม่ต่ำกว่าปีละ 4-5 แสนล้านบาท
ดังนั้น ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจที่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ต้องออกมาขอโทษถึง 2 รอบกับคำพูดของตัวเองที่ทำให้ชาวจีนกระทบกระเทือนจิตใจ และยืนยันจะดูแลเยียวยาอย่างดีที่สุด ก่อนที่อารมณ์จะลุกลามบานปลายจนกลายเป็นเรื่อง “บอยคอต” ประเทศไทย
พร้อมๆ กับการเคลื่อนไหวของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่บินด่วนลงภูเก็ตสั่งกำชับให้ดูแลและค้นหาผู้สูญหายให้ครบหมดทุกคน ขณะเดียวกัน กระทรวงการท่องเที่ยวฯ ก็อนุมัติงบเยียวยากับญาติๆ จำนวนกว่า 64 ล้านบาท ซึ่งถือว่าเต็มเพดาน และอนุมัติภายใน 2 วัน พร้อมๆ กับการตั้งศูนย์ดูแลอย่างรวดเร็วครบวงจร
เอาเป็นว่างานนี้ถือว่า “เกือบไป” ที่เราเกือบเสียหายเรื่องการท่องเที่ยวแบบกู่ไม่กลับจากเหตุเรือล่มดังกล่าว ที่คำพูดของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ที่แม้ “เป็นความจริง” แต่ไปกระทบความรู้สึกของบรรดาญาติๆ ผู้สูญเสีย เพราะคำว่า “คนจีนทำกันเอง” นั้นมีความหมายให้เข้าใจทำนองว่า “ปัดความรับผิดชอบ” ย่อมสร้างความเดือดดาล ยังโชคดีที่เรากลับตัวทัน รีบขอโทษพร้อมกับให้ทางฝ่ายจีนเข้ามามีส่วนร่วมในการแก้ปัญหาอย่างใกล้ชิด ก็ถือว่าบรรเทาลงไปได้บ้าง อย่างน้อยก็ในช่วงเวลานี้
กรณีที่เกิดขึ้นถือว่าละเอียดอ่อน เสี่ยงลุกลามกระทบกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ จะ “แก้ปัญหาแบบบ้านๆ” แบบโชว์ออฟไม่ได้เป็นอันขาด ซึ่งแน่นอนว่ากรณี “ทัวร์ศูนย์เหรียญ” ต้องจัดการปราบปรามให้เด็ดขาด แต่น่าจะเรียงลำดับก่อนหลัง
นาทีนี้ต้องแสดงให้เห็นว่าเราต้องเน้นการช่วยเหลือเยียวยาแบบสากล สร้างมาตรฐานความรับผิดชอบมีความรวดเร็วไม่มีความสับสน และที่สำคัญนี่คือบทเรียนที่ต้องนำไปแก้ไขอย่างเคร่งครัดในเรื่องการบังคับใช้กฎหมายว่าต้องทำอย่างเข้มงวดในทุกเรื่อง ไม่เช่นนั้น เมื่อเกิดเหตุก็จะทำให้มองเห็นว่าพยายามปัดให้พ้นตัว หรือตื่นตัวล้อมคอกกันภายหลังทุกครั้ง แต่ไม่เคยเอาจริง!!