เมืองไทย 360 องศา
ถ้าหากให้วิเคราะห์อารมณ์ของ ทักษิณ ชินวัตร ก็ต้องอดคิดไม่ได้ว่าเป็นคนที่ “ปลงไม่ลง” หรือประเภท “ขี้อิจฉา” ไม่อยากให้ใครเกินหน้าเกินตา ซึ่งอารมณ์ดังกล่าวกำลัง “พลุ่งพล่าน” จนขึ้นสมองอยู่ในเวลานี้
ที่ผ่านมา จะเห็นว่า นอกจากการรับรู้กันว่าเขาเป็นนักโทษหนีคดีทุจริตหลายคดีแล้ว สิ่งที่ ทักษิณ ชินวัตร พยายามแสดงให้เห็น ก็คือ ภาพของนักลงทุนระหว่างประเทศ หรือ “นักลงทุนอินเตอร์” มีความเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา เพื่อเชื่อมโยงกับการเมืองภายในประเทศไทยที่เขายังพยายามบงการชี้นำอย่างต่อเนื่อง
อย่างไรก็ดี หากพิจารณาจากสถานการณ์และความเคลื่อนไหวในช่วงที่ผ่านมาตั้งแต่วันที่ 22 พฤษภาคม 2557 ที่เกิดการรัฐประหารของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่นำโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นต้นมา ก็ต้องถือว่าเป็น “มวยถูกคู่” และแม้ว่าในช่วงแรกในสายตาต่างประเทศตะวันตก ฝ่าย พล.อ.ประยุทธ์ ดูจะเสียเปรียบจากภาพลักษณ์ “เผด็จการ”
แต่ด้วยสถานการณ์ของโลกที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็จ จากการก้าวขึ้นมาสู่อำนาจของ โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกา ที่ชูนโยบาย “อเมริกาต้องมาก่อน” นั่นคือ ต้องคำนึงถึงผลประโยชน์ของตัวเองก่อน จึงนำมาซึ่งการตั้งกำแพงภาษีในอัตราที่สูงจากประเทศคู่ค้าที่เขามองว่า “เอาเปรียบ” สหรัฐฯโดยไม่คำนึงว่าจะเคยเป็นพันธมิตรใกล้ชิดหรือเก่าแก่แค่ไหน เหมือนกับที่ประเทศในยุโรป แคนาดา ญี่ปุ่น หรือแม้แต่เกาหลีใต้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงจีนที่กำลังโดนตอบโต้อย่างรุนแรง จนทำให้มีการกังวลกันว่ากำลังเกิดสงครามการค้าอย่างเต็มรูปแบบในอีกไม่นาน
และเป็นความต่อเนื่องกันที่มีความเคลื่อนไหวที่ “ฉีกกฎเกณฑ์” เมิ่อประธานาธิบดีสหรัฐฯเชิญผู้นำเผด็จการอย่าง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ไปเยือนทำเนียบขาว
แม้ว่าจะรับรู้กันดีว่าอีกนัยหนึ่งมีเรื่องของการตกลงทางการค้าระหว่างประเทศ แต่ในทางการเมืองก็ถือว่าเป็นเรื่องแปลกใหม่ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
จากนั้นทางฝ่ายยุโรปก็ไม่ได้นิ่งเฉย เมื่อมีการยกระดับความสัมพันธ์ทางการค้าในระดับปกติ จนกระทั่งนำมาสู่การเชิญ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และคณะไปเยือนสหราชอาณาจักร และฝรั่งเศส มีการเข้าหารือและได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นจาก นางเทเรซา เมย์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ จนมีการยกระดับเป็น “หุ้นส่วนยุทธศาสตร์” ได้พบหารือกับประธานสภาขุนนางของอังกฤษ และได้พบกับ ประธานาธิบดี เอ็มมานูเอล มาครง ของฝรั่งเศส มีการเจรจาและการลงนามในบันทึกข้อตกลงในทางการค้า การลงทุน ทั้งการส่งเสริมการลงทุนในของภาคเอกชนไทยในอังกฤษและฝรั่งเศส รวมทั้งการเชิญชวนมาลงทุนในไทย โดยเฉพาะในเขตเศราฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี)
เอาเป็นว่าสำหรับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และ คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) แล้วการเดินทางเยือนสหราชอาณาจักร และ สาธารณรัฐฝรั่งเศส ระหว่างวันที่ 20 - 26 มิถุนายน นี้ โดยได้หารือกับผู้นำของทั้งสองประเทศ ถือว่าประสบคสามสำเร็จในทางการเมือง รวมไปถึงการเชิญชวนเข้ามาลงทุนในเขต อีอีซีที่รัฐบาลคสช.กำลังผลักดันอย่างเต็มกำลัง
เป็นการสร้างภาพลักษณ์ให้ได้รับการยอมรับในเวทีโลก โดยเฉพาะในยุโรปตะวันตกที่มี อังกฤษและฝรั่งเศสเป็นประเทศสำคัญ ที่สำคัญ ภาพของผู้นำเผด็จการของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา กำลังเจือจางลงไปเรื่อยๆ แม้ว่าอาจไม่ต้องพูดกันในความหมายในเรื่องการยอมรับ แต่ก็ถือว่าไม่รังเกียจก็แล้วกัน
ขณะที่อีกด้านหนึ่งก็ต้องวกกลับมาที่อารมณ์ของคนอีกกลุ่มหนึ่งนั่นคือ ทักษิณ ชินวัตร ที่เวลานี้หากสังเกตอาการแล้วต้องบอกว่าแทบจะ “สติแตก” กันเลยทีเดียว เพราะการที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้รับเชิญไปเยือนอังกฤษและฝรั่งเศส ที่ถือว่าเป็นแม่แบบประชาธิปไตย ทำให้พวกเขาหมดข้ออ้างที่ยกมาเป็นเรื่องโจมตีมาตลอดสองสามปีที่ผ่านมา เพราะสิ่งที่พวกเขาทำได้ ก็คือ พยายาม “แย่งพื้นที่ข่าว” ระหว่างที่ พล.อ.ประยุทธ์ อยู่ในอังกฤษ
คำพูดของ ทักษิณ ชินวัตร ที่ฟังดูเหมือนกับจะเยาะเย้ย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่พยายามสื่อให้เห็นว่า ถ้า “หิ้วกระเป๋ามาซื้อของ” เขาก็ต้องต้อนรับ หรือมองว่าเป็นแค่เรื่องธุรกิจ ก็อาจจะใช่ แต่คำถามก็คือมันเป็นการเจรจาเพื่อผลประโยชนฃืทางธุรกิจของชาติหรือว่า"มีผลประโยชน์ทับซ้อน"อย่างที่บางช่วงที่มีอดีตผู้นำเคยถูกครหาว่ามักพ่วงการเจรจาธุรกิจของครอบครัวไปด้วยทุกครั้งหรือเปล่า
อีกทั้งการที่ ทักษิณ ชินวัตร พยายามเทียบเคียงให้เห็นว่าเวลานี้เขาอายุเพียงแค่ 69 ปี อายุยังน้อยเมื่อเทียบกับ มหาเธร์ โมฮัมหมัด ที่ได้กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีมาเลเซียอีกครั้งในวัน 92 ปีนั้น ก็อาจเป็นแค่การพูดเพื่อปลอบใจตัวเองและลูกน้องที่ยังอาจเพ้อฝัน และที่สำคัญ ในความเป็นจริงก็คือ มหาเธร์ ไม่เคยมีข้อหาทุจริต ไม่เคยหนีคดี ยืนหยัดต่อสู้ตามความเชื่ออย่างมั่นคง
ดังนั้น หากพิจารณาจากอารมณ์ของ ทักษิณ ชินวัตร ในเวลานี้เหมือนกับกำลังพลุ่งพล่านดาลเดือดที่ได้เห็น พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เหยียบยุโรป และที่น่าจับตาก็คือ จะ “อกแตกตาย” ก่อนที่จะได้เทียบเคียงกับ มหาเธร์ โมฮัมหมัด เพราะหากกลับมาก็ต้องติดคุกสถานเดียวเท่านั้น!!