“ประยุทธ์” ฟุ้ง 4 ปี คสช.นำความสุขคืนสู่ชาวไทยได้ตามที่หวัง เพียรปิดทองหลังพระจนประชาคมโลกได้ประจักษ์ให้การยอมรับ หลายประเทศแห่เชิญให้ไปเยือน ภูมิใจฟื้นฟูเกียรติภูมิของประเทศให้รอดพ้นจากสภาวะรัฐล้มเหลว พร้อมโวความสัมพันธ์ประเทศเพื่อนบ้านดีเยี่ยมที่สุดในรอบหลายปี เพราะยุทธศาสตร์ชาติระยะยาว ไม่ปล่อยให้เกิดปัญหาขัดแย้งเหมือนรัฐบาลที่ผ่านมา ส่งผลให้การค้าชายแดนพุ่ง ไทยได้ดุลกว่า 2 แสนล้านบาท
วันนี้ (22 มิ.ย. 2561) เวลา 20.15 น. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ “ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน” ออกอากาศทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย ตอนหนึ่งว่า เวลา 4 ปีของ คสช.ที่บริหารราชการแผ่นดินมา สามารถนำความสุขคืนสู่ปวงชนชาวไทย ได้ตามที่มุ่งหวัง และตั้งใจไว้ ในช่วงแรกที่มาของ คสช.อาจไม่เป็นที่ยอมรับจากนานาอารยประเทศ ถึงแม้ว่าจะไม่ 100% ก็ตาม แต่ในวันนี้รัฐบาล และ คสช.ก็ได้พยายามพิสูจน์ให้เห็นถึงความจริงใจอันบริสุทธิ์ ผลงานที่ผ่านมา ไม่ได้สำเร็จทั้งหมด ก็เป็นธรรมดาของการทำงานที่จะต้องมีอุปสรรค แต่ก็ต้องได้รับการยอมรับ ทั้งจากประชาชนของเราเอง จากประชาคมโลกในที่สุด ทองเนื้อเก้าที่รัฐบาล และ คสช.เพียรติดหลังองค์พระ บัดนี้ก็ได้ล้นมาข้างหน้า จนประชาคมโลกได้ประจักษ์ ที่ผ่านมาได้รับเชิญให้ไปเยือนญี่ปุ่น จีน รัสเซียสหรัฐอเมริกา และอินเดีย อย่างเป็นทางการ ด้วยความเชื่อมั่น ไว้ใจ และจริงใจต่อกัน และวันนี้ภายหลังจากที่สหภาพยุโรป มีมติข้อผ่อนปรนให้แก่ประเทศไทยของเรา ก็ได้เปิดโอกาสให้เรา สามารถเดินหน้าสานต่อความร่วมมือในด้านต่างๆ ได้ ก่อนที่ผมจะเล่าให้ฟังว่าบ้านเมืองของเราและพวกเราทุกคน จะได้รับประโยชน์ จากการเยือนครั้งนี้ อย่างเป็นทางการ
พล.อ.ประยุทธ์กล่าวต่ออีกว่า ขอเริ่มจากทบทวนเส้นทางสู่ความสำเร็จร่วมกัน ของรัฐบาลและ คสช. โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความร่วมมือ ร่วมใจ ของพี่น้องประชาชนทุกคน ทุกระดับ คงยังจำกันได้ ว่าช่วง 10 กว่าปีที่ผ่านมา ในขณะที่สังคมไทยมีความแตกแยก รัฐบาลไร้เสถียรภาพย่อมส่งผลต่อการดำเนินนโยบายต่างประเทศ ในการที่จะกำหนดจุดยืน ของเราในเวทีโลก และที่สำคัญ คือ เราไม่มียุทธศาสตร์ชาติระยะยาว ที่จะคิดคำนึงถึง การสร้างความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้าน ประเทศพันธมิตร ไปจนถึงประเทศหมู่เกาะ หรือประเทศที่อยู่ห่างไกล โดยเฉพาะมิติการค้าและการลงทุน ที่จะช่วยให้เกิดความเชื่อมโยงตลาด จากผลผลิตของเรา ที่จะทำให้พี่น้องเกษตรกร รวมทั้งผู้ประกอบการ SMEs ของเรา ขายสินค้าได้ดีขึ้น ได้มากขึ้น ในทางกลับกัน เรากลับปล่อยให้เกิดปัญหาความขัดแย้งกับประเทศรอบบ้านเป็นระยะๆ ปัญหาการไม่สามารถทำตามมาตรฐานสากลได้นั้นส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของไทยมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้เราสูญเสียโอกาสในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม ไม่สามารถใช้ประโยชน์จากศักยภาพของประเทศได้อย่างเต็มที่
นายกฯ กล่าวอีกว่า เมื่อรัฐบาลและ คสช.เข้ามานั้นก็ได้วางแผนงานเพื่อจะปฏิรูปและแก้ไขปัญหาต่างๆ รวมทั้งการวางรากฐานที่แข็งแรงสำหรับการพัฒนาของประเทศ และสามารถดำเนินนโยบายการต่างประเทศที่มีประชาชนเป็นศูนย์กลาง สร้างความโดดเด่นในเวทีระหว่างประเทศ ควบคู่ไปกับการส่งเสริมผลประโยชน์ของคนไทยในทุกมิติ
“ปัจจุบันความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้านของเรานั้นอยู่ในระดับดีเยี่ยมที่สุดในรอบหลายปี ชายแดนสงบสุข มีการเปิดจุดผ่านแดนเพิ่มขึ้น ทั้งกับเมียนม่า และกัมพูชา เปิดโอกาสให้ประชาชนไปมาหาสู่กันมากขึ้น การค้าขายตามแนวชายแดนขยายตัวมากขึ้น โดยในปี 2560 นั้น มูลค่าการค้าชายแดนระหว่างไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน มีมูลค่ารวม 1,000 กว่าล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 6 จากปี 2559 ไทยได้ดุลการค้ารวมทั้งสิ้นกว่า 2 แสนล้านบาท นอกจากนี้แม้ว่าบริบทการต่างประเทศจะมีการแข่งขันกันสูงมากในปัจจุบัน แต่เราก็สามารถดำเนินนโยบายต่างประเทศได้อย่างสมดุล โดยมีปฏิสัมพันธ์กับนานาประเทศทั่วโลก สะท้อนให้เห็นว่าในช่วง 4 ปีที่ผ่านมานั้นรัฐบาลได้ฟื้นฟูเกียรติภูมิของประเทศ ให้รอดพ้นจากสภาวะรัฐล้มเหลวเป็นประเทศที่ได้รับการยอมรับจากประชาคมโลก” พล.อ.ประยุทธ์ ระบุ
คำต่อคำ : ศาสตร์พระราชาสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน [22 มิถุนายน 2561]
สวัสดีครับ พ่อแม่พี่น้องชาวไทยที่รักทุกท่าน รายการศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน ในวันนี้นั้น เป็นการบันทึกเทปในระหว่างที่ผมเดินทางมาปฏิบัติภารกิจ ณ สหราชอาณาจักรและสาธารณรัฐฝรั่งเศสนะครับ อย่างเป็นทางการ ผมขอน้อมนำพระบรมราโชวาท ของในหลวง รัชกาลที่ ๙ ที่พระราชทานไว้ เมื่อ 50 ปีที่ผ่านมา เกี่ยวกับในเรืองของ การปิดทองหลังพระ ซึ่งในใจความตอนหนึ่งว่า การทำงานด้วยใจรัก ต้องหวังผลงานนั้นเป็นสำคัญ แม้จะไม่มีใครรู้ ใครเห็น ก็ไม่น่าวิตก เพราะผลสำเร็จนั้น จะเป็นประจักษ์พยานที่มั่นคง ที่ต้องนำมากล่าวในวันนี้นั้นก็เนื่องจากจะบอกว่า ระยะเวลา 4 ปีของ คสช. ที่บริหารราชการแผ่ดินมา สามารถนำความสุขคืนสู่ปวงชนชาวไทย ได้ตามที่มุ่งหวัง และตั้งใจไว้นะครับ ในช่วงแรก ที่มาของ คสช. อาจไม่เป็นที่ยอมรับจากนานาอารยประเทศ ถึงแม้ว่าจะไม่ 100% ก็ตาม แต่ในวันนี้รัฐบาล และ คสช. ก็ได้พยายามพิสูจน์ ให้เห็นถึงความจริงใจอันบริสุทธิ์ ผลงานที่ผ่านมา ไม่ได้สำเร็จทั้งหมด ก็เป็นธรรมดาของการทำงานที่จะต้องมีอุปสรรค แต่ก็ต้องได้รับการยอมรับ ทั้งจากประชาชนของเราเอง จากประชาคมโลกในที่สุด ทองเนื้อเก้าที่รัฐบาล และ คสช. เพียรติดหลังองค์พระ บัดนี้ก็ได้ล้นมาข้างหน้า จนประชาคมโลกได้ประจักษ์ ที่ผ่านมาผมได้รับเชิญให้ไปเยือนญี่ปุ่น จีน รัสเซียสหรัฐอเมริกา และอินเดีย อย่างเป็นทางการ ด้วยความเชื่อมั่น ไว้ใจ และจริงใจต่อกัน และวันนี้ภายหลังจากที่สหภาพยุโรป มีมติข้อผ่อนปรนให้แก่ประเทศไทยของเรา ก็ได้เปิดโอกาสให้เรา สามารถเดินหน้าสานต่อความร่วมมือในด้านต่างๆ ได้ ก่อนที่ผมจะเล่าให้ฟังว่าบ้านเมืองของเราและพวกเราทุกคน จะได้รับประโยชน์ จากการเยือนครั้งนี้ อย่างเป็นทางการ อย่างไรบ้าง ผมขอเริ่มจากทบทวนเส้นทางสู่ความสำเร็จร่วมกัน ของรัฐบาลและ คสช. โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความร่วมมือ ร่วมใจ ของพี่น้องประชาชนทุกคน ทุกระดับนะครับ คงยังจำกันได้ ว่าช่วง 10 กว่าปีที่ผ่านมา ในขณะที่สังคมไทยมีความแตกแยก รัฐบาลไร้เสถียรภาพย่อมส่งผลต่อการดำเนินนโยบายต่างประเทศ ในการที่จะกำหนดจุดยืน ของเราในเวทีโลก และที่สำคัญ คือ เราไม่มียุทธศาสตร์ชาติ ระยะยาว ที่จะคิดคำนึงถึง การสร้างความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้าน ประเทศพันธมิตร ไปจนถึงประเทศหมูเกาะ หรือประเทศที่อยู่ห่างไกล โดยเฉพาะมิติการค้า และ การลงทุน ที่จะช่วยให้เกิดความเชื่อมโยงตลาด จากผลผลิตของเรา ที่จะทำให้พี่น้องเกษตรกร รวมทั้งผู้ประกอบการ SMEs ของเรา ขายสินค้าได้ดีขึ้น ได้มากขึ้น ในทางกลับกัน เรากลับปล่อยให้เกิดปัญหาความขัดแย้งกับประเทศรอบบ้านเป็นระยะๆ ปัญหาการไม่สามารถทำตามมาตรฐานสากลได้นั้นส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของไทยมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้เราสูญเสียโอกาสในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม ไม่สามารถใช้ประโยชน์จากศักยภาพของประเทศได้อย่างเต็มที่ เมื่อรัฐบาลและ คสช. เข้ามานั้นก็ได้วางแผนงานเพื่อจะปฏิรูปและแก้ไขปัญหาต่างๆ รวมทั้งการวางรากฐานที่แข็งแรงสำหรับการพัฒนาของประเทศ และสามารถดำเนินนโยบายการต่างประเทศที่มีประชาชนเป็นศูนย์กลาง สร้างความโดดเด่นในเวทีระหว่างประเทศ ควบคู่ไปกับการส่งเสริมผลประโยชน์ของคนไทยในทุกมิติ ปัจจุบันนั้นผมอยากจะกล่าวว่า ความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้านของเรานั้น อยู่ในระดับดีเยี่ยมที่สุด ในรอบหลายปี ชายแดนสงบสุข มีการเปิดจุดผ่านแดนเพิ่มขึ้น ทั้งกับเมียนม่า และกัมพูชา เปิดโอกาสให้ประชาชนไปมาหาสู่กันมากขึ้น การค้าขายตามแนวชายแดนขยายตัวมากขึ้น โดยในปี 2560 นั้น มูลค่าการค้าชายแดนระหว่างไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน มีมูลค่ารวม 1,000 กว่าล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 6 จากปี 2559 ไทยได้ดุลการค้ารวมทั้งสิ้นกว่า 2 แสนล้านบาท นอกจากนี้แม้ว่าบริบทการต่างประเทศจะมีการแข่งขันกันสูงมากในปัจจุบัน แต่เราก็สามารถดำเนินนโยบายต่างประเทศได้อย่างสมดุล โดยมีปฏิสัมพันธ์กับนานาประเทศทั่วโลก สะท้อนให้เห็นว่าในช่วง 4 ปีที่ผ่านมานั้นรัฐบาลได้ฟื้นฟูเกียรติภูมิของประเทศ ให้รอดพ้นจากสภาวะรัฐล้มเหลวเป็นประเทศที่ได้รับการยอมรับจากประชาคมโลก เพิ่มมาโดยลำดับ
พี่น้องประชาชนที่รักครับ ความเชื่อมั่นเหล่านั้น ส่วนหนึ่งได้มาจากการแก้ไขปัญหามาตรฐานสากลที่คั่งค้างสะสม ไม่ได้รับการแก้ไข หรือทำไม่ได้ตามที่เราได้ไปสัญญากับประชาคมโลกไว้ โดยประเด็นมาตรฐานการบินพลเรือน ICAO ก็ได้ถูกแก้ไข สนับสนุนโอกาสการเติบโตธุรกิจการบินของไทยขณะที่ประเด็นการประมงผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และการควบคุม IUU รวมถึงประเด็นการค้ามนุษย์ รัฐบาลก็ดำเนินการอย่างจริงจัง รวมทั้งการแก้ไขปัญหาสินค้าละเมิดลิขสิทธิ์ด้วย เรามีการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม เพื่อจะแก้ไขปัญหาดังกล่าวทั้งระบบ ซึ่งก็ต้องได้รับความร่วมมือจากพี่น้องประชาชน และคนที่เกี่ยวข้อง สิ่งที่สำคัญอีกเรื่องหนึ่งคือการประกาศนโยบายไม่ยอมรับการค้ามนุษย์ทุกรูปแบบ Zero Tolerance ตลอดจนส่งเสริมการแก้ไขปัญหาร่วมกันกับภาคเอกชนตามแนวทางประชารัฐ
นอกจากนี้ รัฐบาลนี้ได้ริเริ่มและเป็นเจ้าภาพการประชุมว่าด้วยการโยกย้ายถิ่นฐานแบบไม่ปกติในมหาสมุทรอินเดีย จำนวน 2 ครั้ง เพื่อตอบสนองอย่างทันท่วงทีต่อวิกฤตสถานการณ์การโยกย้ายถิ่นฐานที่ไม่ปกติ การดำเนินการเหล่านี้เป็นผลให้สหรัฐอเมริกาได้เลื่อนสถานะของไทยในรายงานสถานการณ์การค้ามนุษย์ที่ หรือ TIP Report ประจำปี ค.ศ.2016 จาก Tier 3 ขึ้นเป็น Tier 2 Watch List ซึ่งคงสถานะเดิมในปี ค.ศ.2017 นับว่าดีขึ้น
ยิ่งกว่านั้นเรายังได้รับโอกาสดีๆ และใช้โอกาสเหล่่านั้นให้เกิดประโยชน์สูงสุด อาทิ ในปี 2559 เราได้รับเกียรติเป็นประธานกลุ่ม G77 ที่มีสมาชิก 134 ประเทศ ในโอกาสดังกล่าวนั้น ต่างชาติได้ให้การยอมรับในการน้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เป็นแนวทางเพื่อการบรรลุเป้าหมาย เพื่อการบริหารที่ยั่งยืนของสหประชาชาติที่เรีียกว่า SDGS นับเป็นการเทิดพระเกียรติแด่ในหลวง รัชกาลที่ 9 ของเราอีกด้วย
นอกจากนี้ เราได้เป็นเจ้าภาพจัดการประชุมระดับภูมิภาคที่สำคัญๆ ในปี 2559 เช่น การประชุมอาเซียน EU Ministerial Meeting และการประชุม ACD Summit ครั้งที่ 2 ซึ่งล้วนแต่เป็นเวทีที่ไทยประสบความสำเร็จ ในการผลักดันประเด็นความร่วมมือเรื่องการตลาดของภูมิภาค และที่สำคัญที่เพิ่มผ่านไป ระหว่างวันที่ 15-16 มิถุนายน ไทยได้เป็นเจ้าภาพจัดการประชุมผู้นำยุทธศาสตร์ความร่วมมือทางเศรษฐกิจอิรวดี-เจ้าพระยา -แม่โขง ACMECS ครั้งที่ 8 และการประชุม ACMECS CEO Forum ครั้งที่ 1 ณ กรุงเทพมหานคร ภายใต้หัวข้อ การก้าวสู่ประชาคม แม่โขงที่เชื่อมโยงกัน โดยมีผู้นำจากประเทศสมาชิก CLMVT ได้แก่ กัมพูชา ลาว เมียนมาร์ เวียดนาม และไทย รวมทั้งเลขาธิการอาเซี่ยน เข้าร่วมด้วย และมีภาคประชาชน เอกชน ธุรกิจเข้าร่วมด้วยในเวทีดังกล่าว เป็นการจัดเป็นเวทีคู่ขนานไปด้วย รับฟังจากซีอีโอต่างๆ โดยความร่วมมือ ACMECS นี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างประชาคมของเราให้เป็น หุ้นส่วนเพื่อการพัฒนา ให้มีการเคลื่อนย้ายสินค้า บริการ การลงทุน การค้าชายแดน และการข้ามพรมแดนของประชาชนอย่างไร้รอยต่อ ภายใต้แผนแม่บท 5 ปี (2562 - 2566) เพื่อจะทำให้ประเทศสมาชิก ACMECS นั้นเชื่อมโยงกันทางเศรษฐกิจ และเป็นสะพานเชื่อมระหว่างมหาสมุทรอินเดียกับมหาสมุทรแปซิฟิกได้อย่างสมบูรณ์แบบ โดยเราจะต้องยกระดับโครงสร้างพื้นฐานให้ได้มาตรฐาน และทำให้กฎระเบียบสอดคล้องกันเสมือนเป็นเขตเศรษฐกิจเดียวกันนะครับ ที่เราเรียกว่า ความเชื่อมโยงอย่างไร้รอยต่อ
ทั้งนี้ เพื่อจะอำนวยความสะดวกลดเวลา และต้นทุนในการเดินทาง และการขนส่งสินค้าข้ามแดน ทั้งหมดนี้จะทำให้ ACMECS สามารถพัฒนาเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่มูลค่าเพิ่มของโลก สร้างการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ โดยมีเป้าหมายให้ประชาชนในภูมิภาคมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ผู้ประกอบการและเกษตรกรเป็นคนยุคใหม่ที่สามารถจะใช้เทคโนโลยี สร้างสรรค์นวัตกรรมในการพัฒนาการผลิต และสามารถแข่งขันในตลาดโลกได้ดีขึ้น รวมทั้งร่วมกันบริหารจัดการสิ่งแวดล้อม และรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งจะช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในภูมิภาคให้ดีขึ้น และขับเคลื่อนเศรษฐกิจภูมิภาค และเศรษฐกิจโลกอย่างมีประสิทธิผล
ในการประชุมครั้งนี้ ยังได้มีการรับรองปฏิญญากรุงเทพฯ ที่สมาชิกจะร่วมกันส่งเสริมความเชื่อมโยง และการพัฒนาอย่างยั่งยืนตามวัตถุประสงค์ข้างต้น และที่เป็นมิติใหม่ของความร่วมมือนี้ คือการจัดตั้งกองทุน ACMECS ที่ไทยเป็นผู้เสนอ เพื่อให้เป็นกลไกการระดมทุนในการพัฒนาโครงการต่างๆ ภายใต้แผนแม่บทนี้ รวมทั้งยังมีการเชิญประเทศที่มีศักยภาพในการเป็นหุ้นส่วนการพัฒนา และองค์กรระหว่างประเทศที่ไม่ใช่สมาชิก ACMECS เข้าร่วมด้วย ในพิธีเปิดนายกรัฐมนตรีจีน และญี่ปุ่น รัฐมนตรีต่างประเทศของออสเตรเลียและเกาหลีใต้ และประธานธนาคาร เพื่อการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานแห่งเอเชีย หรือ AIIB และธนาคารพัฒนาเอเชีย หรือ ADB ได้มีสารแสดงความยินดีต่อข้อริเริ่มของไทย แล้วสนใจเข้าเป็นหุ้นส่วนเพื่อร่วมในการพัฒนา ACMECS นี้ด้วย
นอกจากนี้ เราได้เชิญผู้บริหารระดับสูงของบริษัทเอกชนเข้าร่วมให้ความคิดเห็น เพราะเราตระหนักดีถึงบทบาทของภาคเอกชน ในการที่จะขับเคลื่อนเศรษฐกิจ และช่วยกันสนับสนุนโครบการต่างๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชนของไทย และประชากรในอนุภูมิภาค รวมทั้งจะช่วยเพิ่มศักยภาพทางเศรษฐกิจของไทย และส่งเสริมความสัมพันธ์อันดีกับเพื่อนบ้านต่อไป
พี่น้องประชาชนที่รักครับ การต่างประเทศตามที่ผมได้กล่าวข้างต้นนั้น จะช่วยขับเคลื่อนประเทศไทยตามนโยบายประเทศไทย 4.0 ผ่านการดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ อาทิ จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และฝรั่งเศส ให้มาลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมายของไทย ตลอดจนการพัฒนาระบบอีคอมเมิร์ซ และการผลักดันให้ฮ่องกงซึ่งเป็นกลไกสำคัญในนโยบายหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทางของจีน พิจารณาเปิดสำนักงานเศรษฐกิจและการค้าฮ่องกงประจำประเทศไทย เพื่อเป็นช่องทางประสานงานทางเศรษฐกิจระหว่างกัน
นอกจากนี้ การต่างประเทศยังมีบทบาทในการแสวงหาแนวทางปฏิบัติที่เป็นเลิศช่วยเพิ่มความสามารถในการแข่งขันและชี้ช่องทางเศรษฐกิจแก่ภาคเอกชนไทย โดยเฉพาะกลุ่มเอสเอ็มอี ผ่านการให้ข้อมูลเชิงลึกของตลาดที่มีศักยภาพและการจับคู่ธุรกิจในโอกาสต่าง ๆ อีกด้วย
ดังนั้น ช่วง 4 ปีที่ผ่านมา รัฐบาลได้แก้ไขปัญหาที่เป็นอุปสรรคในการพัฒนาประเทศอย่างเต็มกำลัง รวมทั้งกระชับความสัมพันธ์กับประเทศต่างๆ เพื่อวางรากฐานด้านการต่างประเทศให้มีความเข้มแข็งสามารถช่วยขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศให้ก้าวหน้า
โดยในอนาคตอันใกล้ ไทยจะเป็นประธานอาเซียนในปี 2562 และเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมสุดยอด APE ในปี 2565 โดยทั้ง 2 โอกาสจะเป็นเวทีให้ไทยผลักดันความร่วมมือที่จะเป็นประโยชน์ต่อไทยและภูมิภาคในภาพรวม เพื่อให้ทุกฝ่ายเติบโตไปพร้อมกัน โดยไม่ทิ้งใครไว้เบื้องหลัง
พี่น้องประชาชนที่เคารพครับ สำหรับการปฏิบัติภารกิจ ณ สหราชอาณาจักร ผมและรัฐมนตรีอีกหลายท่าน รองนายกรัฐมนตรีด้วย ที่เดินทางมาในครั้งนี้ ก็ได้แยกการปฏิบัติภารกิจกันตามที่แต่ละท่านรับผิดชอบ ในส่วนของผมเองนั้น เมื่อวันพุธที่ผ่านมาได้หารือกับ นางเทเรซ่า เมย์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ ซึ่งผลของการหารือ มีสาระสำคัญดังนี้
ในประเด็นของความมั่นคง และทั้งในส่วนของภูมิภาค ทั้งในภูมิภาคอาเซียน และอื่นๆ อีกด้วย ด้านเศรษฐกิจ มีการเพิ่มมูลค่าการลงทุนค้าขายได้อย่างไร ระหว่างไทยกับอังกฤษ และยุโรป
หลังจากที่เราได้มีการปฏิบัติตามมติของสหภาพยุโรป ในการเพิ่มความสัมพันธ์ที่ดีกับเรา เพราะฉะนั้นก็เป็นโอกาสของเราที่จะเจรจาในเรื่องเหล่านี้ ในเรื่องของการลงทุน การค้า เช่นในเรื่องของการเปิดโรดโชว์ ของเรา ในเรื่องเศรษฐกิจอีอีซี ของเรา ก็ได้ประสบความสำเร็จอย่างดีได้รับควาสนใจจากหลายบริษัทเป็นจำนวนมาก
ในวันนี้ ผมเองก็ได้ไปดูงานด้านการส่งเสริมและพัฒนาด้านทรัพยากรบุคคลด้านอุตสาหกรรมดิจิตัล ของบริษัทเพียร์สันซึ่งเป็นหลักสูตรด้านอาชีวะศึกษา ในขณะนี้ประเทศไทยของเรานั้นให้ความสำคัญด้านการศึกษาทวิภาคีมากขึ้น เป็นลำดับ การผลิตคนตามความต้องการของประเทศโดยเฉพาะในอีอีซี และในประเทศไทย มีทั้ง 2 ส่วน
ทั้งเพื่อผลิตคนให้ทันความต้องการในเวลานี้ กับการวางแผนในอนาคตอีก 5 ปี 10 ปี 20 ปี ข้างหน้า เราได้หารือกับเพียร์สัน ให้ช่วยกันในการศึกษาวิเคราะห์หาแนวปฏิบัติที่เหมาะสมในเรื่องการปฏิรูปการศึกษาของประเทศไทยด้วย
หลังจากนั้นมาบ่ายวันนี้ก็ได้พบกับพี่น้องชุมชนไทยในสหราชอาณาจักร ก็มาพบผมเกือบ 300 คน มีการแลก เปลี่ยนความคิดเห็น แลกเปลี่ยนทัศนคติ กับชาวไทยที่พักอาศัยอยู่ที่นี่เป็นเวลานาน มีคนไทยอยู่ที่นี่ราว 60,000 คน มีนักศึกษาอยู่ประมาณ 6,000 คน บรรยากาศก็เป็นไปด้วยความอบอุ่น ให้กำลังใจซึ่งกันและกัน
ผมก็ได้ชี้แจงให้เห็นถึงความก้าวหน้าของประเทศไทย ซึ่งเป็นบ้านเกิดของเขา ว่าผมทำอะไรให้กับประเทศไทยบ้าง เพื่ออนาคต เราต้องการให้ประเทศไทยเราเปลี่ยนแปลงใช่ไหมครับ เรากำหนดวิสัยทัศน์ของเราแล้วว่าเราต้องเป็นประเทศที่มีความมั่นคง มั่งคั่ง อย่างยั่งยืน โดยใช้หลักการจากปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวนั้น เป็นเข็มทิศนำทาง
แล้วนำข้อเสนอจากท่านทั้งหลายไปปรับใช้ ว่าเขาต้องการอะไร เพราะฉะนั้นหน้าที่ของรัฐบาล นายกรัฐมนตรี มีหน้าที่รับฟังเสียงจากประชาชน แล้ววันนี้ที่มานี่ก็ล้วนแต่เป็นกำลังใจให้ผมทั้งสิ้น ผมถือว่าทุกคนเป็นคนไทยด้วยกัน ไม่ว่าจะชอบ หรือไม่ชอบผมก็ตาม ผมก็ถือว่าผมเป็นคนไทย
เพราะฉะนั้นสิ่งที่ตามมาอีกหลายอย่าง วันนี้อยากจะบอกว่าอีอีซี ได้รับความสนใจมากขึ้น หลายบริษัทมาพบผมก่อนการประชุม และการสัมมนา ก็ทราบว่าหลายบริษัทสนใจ บริษัทเหล่านี้ ของสหราชอาณาจักรนั้น เขามองเห็นถึงศักยภาพของเราในการที่เราเป็นศูนย์กลางของอาเซียน ทั้งพื้นที่ ทั้งความเชื่อมโยงอะไรต่างๆ ประเทศไทยนั้นมีศักยภาพมาก แล้วประกอบกับนโยบายในช่วง Brexit ของสหราชอาณาจักร เขามีนโยบายเพิ่มเติมมา คือเรื่อง Global Britain ก็คือการค้าเสรีไปกับประเทศ ทั้งในยุโรปและนอกยุโรป มีกองทุน SMEs ให้กับบรรดาบริษัทของเขาในการจะไปลงทุน ทั้งในประเทศและต่างประเทศด้วย และในส่วนนี้ก็มีโครงการหลายโครงการ มีหลายบริษัทที่ได้รับเงินสนับสนุนในก้อนนี้
ในเรื่องของการศึกษา ผมก็อยากจะบอกว่าเรามีหลายความร่วมมือหลายอย่างด้วยกัน ไม่ว่าจะจากโครงการเดิม ในเรื่องของบริติชเคาน์ซิล ซึ่งสอนเรื่องภาษาอังกฤษสอนอะไรต่างๆ มายาวนาน อันที่สองที่มีอยู่ก็คือ ทุน Newton ซึ่งเราก็มีนักศึกษาของเรามาศึกษาโดยใช้ทุนเหล่านี้เป็นจำนวนมากพอสมควร มีการพัฒนาบริติชเคาน์ซิลใหม่ในประเทศไทย ในเรื่องหลักสูตรการเรียนการสอนต่างๆ ทั้งหมด มีการพัฒนาอย่างมากมาย ถือว่าเป็นประวัติศาสตร์หนึ่งของบริติชเคาน์ซิลด้วย แล้วก็ความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นเคมบริดจ์ ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนโดยสถานศึกษาของอังกฤษ ของสหราชอาณาจักร เราคุยกันถึงว่าเราจะสามารถพัฒนาคนได้อย่างไร มันมีสองอย่าง คือ พัฒนาคนให้เร็ว เร็วก็คือการต่อยอด มีหลักสูตรใหม่ๆ ที่มีมาตรฐานจากเขาไป และมีการรับรองมาตรฐานจากของเรา อันที่สองก็คือ วางรากฐานว่าการที่จะเรียนอุดมศึกษา หรือจะเรียนอาชีวะ จะทำยังไงให้สามารถที่จะทำงานได้จริง ทั้งนี้ ก็เพื่อจะให้สอดคล้องกับการพัฒนาประเทศในอนาคต
สำหรับการมาในครั้งนี้ก็ได้มีโอกาสพบกับผู้นำทั้งสองท่าน ท่านแรกก็คือนายกรัฐมนตรี นางเทเรซา เมย์ สำหรับวันนี้ก็เป็นท่านที่สอง ก็ได้พบกับท่านประธานสภา ที่เรียกว่าสภาสูง ก็นับว่าเป็นเกียรติอย่างยิ่ง ในการเดินทางมาเยี่ยมเยือนสหราชอาณาจักรในครั้งนี้ ที่อยากจะเล่าให้ฟังก็คือว่า การต้อนรับและการให้เกียรติผมนั้นดีมาก ดีมากในทุกระดับ และผมเห็นถึงการพัฒนาของอังกฤษ ของสหราชอาณาจักร เขามีความก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว คำว่ารวดเร็วคือเขาดีอยู่แล้ว แต่เขายังคงพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ถ้าเรามองถึงศักยภาพของเขา เงินทุนของทั้งสองประเทศ คืออังกฤษ กับฝรั่งเศส เขามีการลงทุนเงินไปต่างประเทศ 2 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ ถือว่าเป็นเงินมหาศาลที่ไปลงทุนต่างประเทศ เพราะฉะนั้นการมาครั้งนี้ก็ถือว่าเป็นการประสบความสำเร็จอย่างที่เราตั้งใจเจตนาอย่างยิ่งยวด แล้วข้อสำคัญก็คือว่า ต้องขอขอบคุณกระทรวงการต่างประเทศ ขอบคุณทีมไทยแลนด์ ขอบคุณทุกคน ภาครัฐ ภาคเอกชน รวมความไปถึงนักธุรกิจที่ลงทุนในอังกฤษอยู่แล้ว เพราะว่าเรามีมูลค่าการลงทุนที่นี่ ของคนไทยนะ ประมาณ 4.7 พันล้านเหรียญสหรัฐ ของเขามาลงทุนในไทยประมาณ 7.2 พันล้านเหรียญสหรัฐ ก็น่าจะเพิ่มขึ้นอีก ถ้าเพิ่มขึ้นอีกรายได้เราก็จะมากขึ้น แล้วประเทศ พี่น้องประชาชนคนไทยก็จะดีขึ้น ถ้าเราไม่มีอะไรใหม่ๆ เกิดขึ้นเลย อนาคตมันก็กินของเก่าไปตลอด เพราะฉะนั้นเราทุกคนต้องช่วยกัน
สุดท้ายนี้ ผมขอฝากถึงพี่น้องประชาชนทุกคน ทุกฝ่าย รวมทั้งข้าราชการ และทุกภาคส่วน ว่าทุกคนนั้นล้วนมีบทบาท มีหน้าที่และมีความสำคัญต่อการพัฒนาประเทศทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นทางใดทางหนึ่ง จะเป็นการปิดทองหลังพระ หรือจะเป็นการทำตามหน้าที่ปกติก็ตาม อาทิ ทีมฟุตบอลคนตาบอดทีมชาติไทย หรือทีมวอลเล่ย์บอลหญิงของไทย ที่แม้จะไปไม่ถึงแชมป์ แต่ก็ไปได้ไกลกว่าที่เคย ซึ่งเราก็เห็นว่าพัฒนาขึ้นทุกวัน และเราก็จะเป็นกำลังใจให้กันตลอดไป
สำหรับฮีโร่ทั้ง 8 คน ที่ช่วยผู้ประสบเหตุทางรถที่ไฟลุกไหม้ ก็สะท้อนให้เห็นถึงความตั้งใจในการทำความดี แม้ตนเองจะต้องเสี่ยงภัย แต่ก็ต้องระมัดระวัง มีสติเสมอ และต้องมีความรู้ด้วยที่จะช่วยเหลือคนอื่น ที่ยกตัวอย่างมานี่ก็อยากจะบอกในช่วงท้ายรายการว่า เราไม่สามารถจะทำให้ถูกใจใครได้ทั้งหมด แต่เราจะสามารถทำให้ดีที่สุดได้ ตราบใดที่เรามีความเชื่อมั่นและศรัทธาว่าสิ่งที่เรากำลังทำนั้น ทำถูกแล้ว ทำควรแล้ว เพื่อประเทศชาติและประชาชนของเรา
ขอบคุณนะครับ ขอให้ทุกคนรักษาสุขภาพ และทุกครอบครัวมีความสุข สวัสดีครับ ด้วยความคิดถึง จากต่างประเทศถึงคนไทยตลอดเวลา ขอบคุณครับ สวัสดีครับ