เมืองไทย 360 องศา
กำหนดหัวเรื่องเอาแบบนี้อาจดูแล้วหวือหวาน่าหวาดเสียวแน่ เมื่อพิจารณาจากภาพที่จะกำลังปรากฏอยู่ในเวลานี้ รวมทั้งในเวลาอันใกล้ถึงไม่ใช่ก็คงใกล้เคียงไม่น้อย โดยเฉพาะคำยืนยันเสียงแข็งจากระดับบิ๊กทั้งในรัฐบาลและคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) โดยเฉพาะท่าทีจากปากของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ยืนยันว่าจะไม่มีทางปลดล็อกลงไปทันทีทันใด แต่จะใช้วิธีทยอยปลดล็อกแบบค่อยเป็นค่อยไป
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ให้เหตุผลในทำนองว่า ยังมี “คลื่นใต้น้ำ” มีคนจ้องป่วน และล่าสุด ระหว่างที่ไปตรวจราชการและประชุมคณะรัฐมนตรีสัญจรที่ พิจิตร - นครสวรรค์ ตั้งแต่วันที่ 11 มิถุนายน ที่ผ่านมา ยังย้ำแบบเดิมว่า “มีคนพยายามทำให้เกิดเหตุการณ์ขึ้น แต่ผมไม่บอกว่าเป็นใคร” เป็นคำพูดของเขาระหว่างที่พบปะกับชาวบ้านที่ “บึงสีไฟ” จังหวัดพิจิตร ทำให้เหมือนกับว่าเขาฟ้องกับประชาชน เพื่ออธิบายว่าทำไมถึงยังไม่ยอมปลดล็อกเสียที
แม้ว่าในความเป็นจริงจะเป็นเช่นไร มีคลื่นใต้น้ำคอยจ้องป่วนตามที่อ้างจริงหรือไม่ก็ตาม หรือว่าเป็นแค่เพียงข้ออ้างให้สมเหตุสมผลสำหรับไม่ต้องปลดล็อก ยังไม่ให้พรรคการเมืองได้เคลื่อนไหวอย่างอิสระ
ขณะเดียวกัน อีกด้านหนึ่ง “บิ๊กตู่” ก็เดินสายแบบถี่ยิบ ล่าสุด ก็ขึ้นเหนือเริ่มจากพิจิตร ไปจบที่นครสวรรค์โดยยกคณะชุดใหญ่ไปประชุมคณะรัฐมนตรีสัญจร เรียกได้ว่าคราวนี้เหมือนกับการ “เก็บรายละเอียด” กันทุกเม็ด โดยเฉพาะลีลาท่าทาง “ยิ่งกว่านักการเมือง” เสียอีก มีทั้งอุ้มเด็ก ล้อมวงโอภาปราศรัยกับชาวบ้านแบบเป็นกันเอง การขึ้นรถไฟตรวจงาน เป็นต้น
หากพิจารณากันแบบการเมืองก็ต้องบอกว่า “เข้าขั้น” เป็นการพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าเขาคนนี้ไม่ธรรมดาเลยทีเดียว เป็นการหาเสียงแบบ “เนียนๆ” จับไม่ได้ และถึงแม้จับได้ไล่ทันก็ไม่ยอมรับเด็ดขาด
นอกเหนือจากนี้สิ่งที่ต้องพิจารณากัน ก็คือ ยังมีการใช้ประโยชน์จาก “อำนาจพิเศษ” ที่มีอยู่ในมือแบบเต็มเม็ดเต็มหน่วย กดหัวมือเท้าของฝ่ายตรงข้ามไม่ให้ขยับกันอีก ล่าสุด มีการกำชับปราบปรามกวาดล้าง “ผู้มีอิทธิพล” ทั่วประเทศ ซึ่งแน่นอนว่านโยบายแบบนี้ถามชาวบ้านที่เป็นสุจริตชนย่อมปรบมือให้ทุกคน แต่ขณะเดียวกัน หากมีรายการ “แอบแฝง” ปะปนมาในการกำจัดฝ่ายตรงข้าม หรือเก็บมือเท้าของอีกฝ่ายในช่วงชุลมุนแบบตี้มันก็ย่อมเกิดขึ้นได้เสมอ ยิ่งในช่วงใกล้การเลือกตั้งมากเท่าไหร่ มันก็น่าจับตา เหมือนกับก่อนหน้านี้ที่เคยมีนโยบายทำสงครามปราบปรามยากเสพติดที่มีคนสุจริต และฝายตรงข้ามโดนกันไปหลายราย
และที่น่าจับตากันอีก ก็คือ การกวาดล้างต่อเนื่องในเรื่องของ หนี้นอกระบบ หวยเถื่อน สิ่งผิดกฎหมายกันจิปาถะ โดยเฉพาะการเปิด “ศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ของชาวนา” ซึ่งรับรองว่าปัญหาของชาวนาก็ย่อมครอบคลุมทุกเรื่องที่กล่าวมาแน่นอน แต่ขณะเดียวกันหากสามารถแก้ปัญหาคลายทุกข์ได้จริงนั่นก็ย่อมหมายถึงความประทับใจ ได้คะแนนเสียง ได้ความนิยมตุนเอาไว้ในกระเป๋าได้อื้อซ่า
หากยังไม่นับเรื่องการทำให้ราคาผลผลิตออกมาดี ขายข้าวได้ราคาดี อย่าลืมว่าชาวนาทั้งประเทศมีจำนวนเท่าใด และที่ผ่านมา จำกันได้หรือไม่เคยเป็นฐานเสียงให้ใครและพรรคใด และเวลานี้ราคาข้าวเปลือกหอมมะลิเท่าใด
ดังนั้น หากบอกว่าการเดินสายไปประชุมคณะรัฐมนตรีสัญจรเริ่มจากภาคเหนือภาคเหนือตอนล่างครั้งนี้ที่เหมือนกับย้ำเก็บแต้มหลังจากก่อนหน้านี้เคยขึ้นไปที่ ตาก และ สุโขทัย กันมาแล้ว คราวนี้จึงเหมือนเก็บรายละเอียดกันทุกเม็ด พร้อมๆกับนโยบายปราบปรามผู้มีอิทธิพล และตั้งศูนย์รับเรื่องร้องทุกข์ของชาวนา
มันก็เหมือนกับการเก็บสะสมเต็มแบบละเอียด ขณะที่อีกด้านก็ยังกดหัวฝ่ายตรงข้ามไม่ให้มีโอกาสได้ขยับ นี่จึงไม่ต่างจาก “แผนทำให้ไพรีพินาศ” ก็ไม่ปาน !!