ข่าวปนคน คนปนข่าว
**เชลียร์ต่อเนื่อง!! “นิด้าโพล” ปล่อยผลโพลคนไทยเลือก “ลุงตู่” นายกฯหลังเลือกตั้ง (อีกแล้ว) แปลกแต่จริงไม่ถึง 2 เดือน วนกลับมาถามซ้ำ ตามคิวเช็กฟีดแบ็ก หลังเดินสายอีเว้นต์บุรีรัมย์ แม้นอนมารั้งที่ 1 แต่แต้มลดลง คงเสียเซล์ฟไม่น้อย
บรรจงเลียท็อปบูต .. คำเปรียบเปรยที่ อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์ อดีต ผอ.นิด้าโพล มีให้กับผลสำรวจความคิดเห็น “นิด้าโพลยุคใหม่” ภายใต้การดูแลของ ณพงศ์ นพเกตุ อาจารย์คณะบริหารการจัดการสิ่งแวดล้อม ที่รั้งตำแหน่ง “ผอ.นิด้าโพล” คนปัจจุบัน .. ก็มีอย่างที่ไหน ไม่ถึง 2 เดือนดี เอาหัวข้อ “ประชาชนอยากได้ใครเป็นนายกรัฐมนตรีคนต่อไป ตามกฎหมายการเลือกตั้งปัจจุบัน” กลับมารีรันใหม่ .. ผลที่ออกมาก็ไม่ต้องเดา “ลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ยังคงรั้งอันดับหนึ่ง แม้คะแนนจะเหลือ 32.24% ลดจากเดิมที่ได้ 38.64% ก็ตาม .. เพียงเท่านี้ก็เหมือนถวายพานให้ “ขุนทหาร” ตีขลุมไปว่า ประชาชนส่วนใหญ่หนุนให้ “ลุงตู่” เป็นนายกฯ หลังการเลือกตั้ง.. แม้ไม่รู้หลักการ-ระเบียบ ของการทำโพล แต่ “เด็กอนุบาล” ก็ยังอดสงสัยไม่ได้ว่า เหตุใด “นิด้าโพล” เลือกหัวข้อนี้ขึ้นมาอีกครั้งในเวลากระชั้นชิด ..
ครั้งก่อนเพิ่งทำ และเปิดเผยไปเมื่อ 15 มี.ค. 61 หนนี้ 8 - 9 พ.ค. ไปเดินสำรวจเรื่องเดิมอีกแล้วหรือ ราวกับว่าไม่มี “ปะเด็นสังคม” อะไรที่ควรคู่แก่การสำรวจความเห็นประชาชน .. อิหรอบนี้ใครก็อ่านออกมา “มีงาน” จนอดถามไม่ได้ว่า ถ้า “โพลนาฬิกายืมเพื่อน” ไม่ตรงตามหลักวิชาการ - จรรยาบรรณทำโพล .. ประเภท “โพลเชลียร์” ที่ทำกันรัวๆ แบบนี้ ทำบนพื้นฐาน “จรรยาบรรณ” อย่างนั้นหรือ .. อาจจะได้รับการร้องขอแบบปฏิเสธไม่ได้ เหมือนคิดว่า “ตีเหล็กต้องตีตอนร้อน” ใช้ “นิด้าโพล” เช็กฟีดแบ็ก หลังจบ “บุรีรัมย์ทริป” ที่ “ลุงตู่” นำคณะลงไป เมื่อวันที่ 7 - 8 พ.ค. อย่างไรอย่างนั้น .. ขนาดมี “คะแนนพิศวาส” แต้มยังลด กระจายไปให้แคนดิเดตคนอื่น .. เจอแบบนี้เข้าไปคงมี “เสียเซล์ฟ” กันบ้างล่ะ.
**มาเร็ว เคลมเร็ว!! “มหาเธร์” เดินเครื่องล้างบาง “อดีตนายกฯ ขี้ฉ้อ” ทำแค่ 2 วันมากกว่า “รัฐบาลตู่” ทำมาตลอด 4 ปี สะท้อนความเด็ดขาดของการเมืองประเทศเพื่อนบ้าน ผิดกับ “ความหน่อมแน้ม” ขอรัฐบาลแถวๆ นี้ ที่คนนินทาหมาดูถูกว่าเก่งแต่ “เกี้ยเซียะ”
ดูไว้เป็นตัวอย่าง .. ผลเลือกตั้ง “มาเลเซีย” ประเทศเพื่อนบ้าน ที่ “ฝ่ายค้านตลอดกาล” พลิกล็อกกลับมาชนะ “รัฐบาลผูกขาด” .. โดยมีการวิเคราะห์กันว่า เป็นพลังของประชาชนที่ต้องการความเปลี่ยนแปลง อีกทั้งยังเบื่อหน่ายกับการบริหารของรัฐบาลเก่าที่ส่อไปในทางไม่โปร่งใส .. ทำเอาวิญญาณ “ไอ้ห้อย - ไอ้โหน” เข้าสิง “นักเลือกตั้งแถวๆ นี้” ยกเป็นอุทาหรณ์สอนใจ รัฐบาลแถวๆ นี้ ที่ก็ไม่ต่างจากยกเอา “กระพี้” มาโหนกระแส .. ด้วย “แก่น” ของเรื่องมีให้น่าติดตามมากมาย ทั้งการกลับคืนอำนาจของ มหาเธร์ โมฮาหมัด ในวัย 92 ปี ที่โค่น นาจิบ ราซัค อดีตคนใกล้ชิดที่อุ้มชูกันมา ย้ำคำที่ว่า “การเมืองไม่มีมิตรแท้ ศัตรูถาวร” ได้เป็นอย่างดี .. ที่ต้องติดตามก็ “บันได 3 ขั้น” ที่ “นายกฯมหาเธร์” ประกาศไว้ชัดก่อนจะได้รับชัยชนะ ทั้งการขอพระราชทานอภัยโทษให้แก่ อันวาร์ อิบราฮิม ก่อนส่งต่อตำแหน่งนายกฯ ให้ .. เหนือสิ่งอื่นใด คือ การชำระความผิด “อดีตนายกฯนาจิบ” ในทุกคดีความผิด ทั้งการใช้อำนาจรัฐกลั่นแกล้งผู้อื่น และคดีทุจริต คอร์รัปชัน โดยเฉพาะกรณีกองทุน 1 MDB ที่มีพฤติกรรมโยกย้ายเงินผิดปกติมากกว่า 700 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือราว 2 หมื่นล้านบาทไทย .. ให้หลังการขึ้นสู่อำนาจอย่างเป็นทางการ “มหาเธร์” ก็ติดเครื่องตามแบบฉบับ “มาเร็ว เคลมเร็ว” ทันที .. ทั้งการสั่งห้าม “นาจิบและครอบครัว” เดินทางออกนอกประเทศอย่างไม่มีกำหนด ในขณะเตรียมโดยสารเจ็ตส่วนตัวไปประเทศอินโดนีเซีย .. ตลอดจนการไล่เช็กบิลคนรอบข้างของอดีตนายกฯ ไม่เว้นแม่แต่ “ภรรยา” กระทั่งการสั่งปลด “อัยการสูงสุด” .. สะท้อนให้เห็นว่า งานนี้ไม่ได้ทำกันเล่นๆ ไม่มีประนีประนอมทั้งสิ้น แม้จะถูกมองว่า “ทีใครทีมัน” หรือเป็นการ “แก้แค้น” ก็ตาม ..
หันมาดูที่ประเทศไทย ระดับความจริงจังมันต่างกันราวฟ้ากับเหว ในขณะที่ “มหาเธร์” ลุยตั้งแค่ 1 - 2 วันแรกในการขึ้นสู่อำนาจ แต่ “ลุงตู่” ใช้เวลาเกือบ 4 ปี กับ “วาทกรรมกลวงๆ” ที่ชื่อว่า “โรดแมป” .. ในขณะที่วัฒนธรรมการเมืองของมาเลย์ การพลิกขั้วอำนาจ คือ การชำระความผิดกันแบบ “ล้างบาง” .. แต่ประเทศไทยการพลิกขั้วอำนาจก็แค่เปลี่ยน “เจ้ามือ” ที่พร้อมที่จะ “เกี้ยเซียะ - จูบปาก” กันได้ตลอด .. เอาง่ายๆ กรณีของ “อดีตนายกฯนาจิบ” กับ “อดีตนายกฯยิ่งลักษณ์” ความเสียหายในการบริหารประเทศจากโครงการจำนำข้าวมหาศาลกว่าของฝ่ายแรกเป็นสิบเท่าตัว .. แต่การปฏิบัติของ “รัฐบาลรัฐประหาร” กลับ “หน่อมแน้ม”อย่างไม่น่าเชื่อ จนปล่อยให้หนีรอดอาญาแผ่นดินไปได้ตาม “ช่องทางธรรมชาติ” จนคนนินทา หมาดูถูก ว่ามี “ดีลเกี้ยเซียะ” กันไปถึงไหนๆ แล้ว .. หรืออย่างการที่ “ทักษิณ - ยิ่งลักษณ์” โผล่มาโซ้ยโต๊ะจีน ป้วนเปี้ยนสร้างประเด็นการเมืองในประเทศอาเซียนล่าสุด ก็ไม่ยักจะมีมาตรการประท้วงใดๆ ออกจากรัฐบาลไทย .. ดูเพื่อนบ้านแล้วมาดูของเรา ก็ได้แต่ถอนหายใจ
** หาเหาใส่หัว!! กทม. คิดฮุบ “หอศิลป์กรุงเทพฯ” เจอตอกงานในมือก็เอาตัวไม่รอด ริจะมาบริหารแหล่งเรียนรู้ ลือหึ่ง “ผู้ใหญ่” สั่งยึด หลังเป็นศูนย์รวม “อีเวนต์การเมือง” หวั่นปลดล็อกการเมืองแล้วคุมไม่อยู่
อยู่ดีไม่ว่าดี .. จู่ๆ ก็มีข่าวว่า “บิ๊กวิน” พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่าฯ กทม. มีแนวคิดจะให้ทางสำนักวัฒนธรรม กีฬาและการท่องเที่ยว มาเป็นผู้จัดการดูแล หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร (bacc) ที่ตั้งอยู่ตรงแยกปทุมวัน .. พร้อมคุยเขื่องว่าจะอัพเกรดให้เป็นแหล่งเรียนรู้ของเยาวชนมากขึ้น โดยการเสริมโต๊ะ - เก้าอี้ ทำเป็น Co-working Space และออกตัวว่า แม้ กทม. บริหารเอง ก็ทำให้ “โปร่งใส” ได้ .. โดย “หอศิลป์กรุงเทพฯ”ตั้งแต่เปิดให้บริการเมื่อเกือบ 10 ปีก่อน ก็อยู่ในความดูแลของ “มูลนิธิหอศิลปวัฒนธรรมกรุงเทพมหานคร” ที่ตั้งขึ้นโดยมีศิลปินและผู้คนในวงการศิลปะ มาช่วยกันบริหาร ตามปฏิญญาที่ “เสี่ยต้อม” อภิรักษ์ โกษะโยธิน ผู้ว่าฯ กทม. สมัยนั้นได้ลงนามไว้ .. พลันที่เป็นข่าวไฟก็ลามทุ่งไปอย่างรวดเร็วในสังคมโซเชี่ยลฯ มีการกระพือผลงานตลอด 10 ปีที่ผ่านมาของ “หอศิลป์กรุงเทพฯ” ว่า มีความสำเร็จเพียงใด ภายใต้ “องค์กรที่มีอิสระ” .. เพื่อชี้ให้เห็นว่า กทม.ไม่มีประสบการณ์-ความสามารถ ในการบริหารจัดการงานลักษณะนี้ .. เลยเถิดไปถึงคำวิพากษ์วิจารณ์ผลงานของ กทม. ที่แค่งานในมือก็เอาตัวไม่รอด ทั้งน้ำท่วม ขยะ ฟุตบาท หาบเร่แผงลอย ยังริจะ “หาเหาใส่หัว” เพิ่มเติมอีก .. ที่อาจจะเอ่ยถึงลำบากก็ “ผรุสวาท” ที่หลุดออกมาจากทั้ง “ศิลปินแห่งชาติ - ศิลปินเบอร์ใหญ่” ที่รุนแรงเกินจะนำมาถ่ายทอด ..
ที่น่ากลัวก็คือความคิดย้อนยุคที่จะนำ “ระบบราชการ” ไปครอบ “หอศิลป์” หรือแหล่งเรียนรู้ต่างๆ ที่ควรมีการบริหารจัดการสมัยใหม่ - เป็นสากล .. มีการเปรียบเทียบง่ายๆ ระหว่างพิพิธภัณฑ์ - ศูนย์การเรียนรู้ที่บริหารโดย กทม. หลายแห่ง กับแหล่งเรียนรู้ที่บริหารโดยองค์กรที่เป็นอิสระ ผลงาน-ความยอมรับ เหมือนหรือต่างกันอย่างไร .. แว่วมาว่า เหตุที่ “หอศิลป์กรุงเทพฯ” ถูกล็อกเป้า ก็ด้วยเปิดโอเพ่นให้มีการจัดกิจกรรมมากเกินไป หลายอีเวนต์ ก็ “การเมือง” อย่างโจ่งครึ่ม .. ยิ่งอีกไม่นาน ก็ต้องมีการปลดล็อกกิจกรรมทางการเมือง น่ากลัวว่า “หอศิลป์กรุงเทพฯ” จะถูกขอใช้จนตารางเต็มเอี้ยด ด้วยเป็นพื้นที่ทำเลทองใจกลางเมือง จัดอีเว้นต์อะไรก็ปัง .. ก่อนจะคุมไม่อยู่ “ผู้ใหญ่” ก็เลยมอบนโยบายมาให้ กทม. ในฐานะเจ้าของพื้นที่ ทำทุกวิถีทางในการนำกลับมาควบคุมโดย “ฝ่ายรัฐ” โดยเร็ว .. กลายเป็น “เผือกร้อน” ที่จู่ๆ หล่นมาบนตัก “บิ๊กวิน” แบบเสียไม่ได้
ช.ชฎา