เมืองไทย 360 องศา
“5 เรื่องเร่งด่วน (Quick Win) ที่จะดำเนินการให้เห็นผลภายใน 8 เดือน ก่อนการเลือกตั้ง คือ 1. การปฏิรูประบบราชการและการอำนวยความสะดวก 2. การแก้ไขปัญหาปากท้องของประชาชน 3. การปราบปรามทุจริตคอร์รัปชัน 4. การสร้างการมีส่วนร่วมของประชาชน 5. การลดความเหลื่อมล้ำและสร้างความเป็นธรรมในสังคม”
“นายกฯ ให้กำลังใจคณะทำงาน และขอให้เร่งรวบรวมข้อมูลเสนอขึ้นมา หากเรื่องใดที่เป็นประโยชน์และสามารถทำได้จริง จะพิจารณาให้ทำทันที โดยหลายเรื่องก็ได้ดำเนินการมาแล้วก่อนหน้านี้ และทำอย่างต่อเนื่อง เช่น การลดขั้นตอนการให้บริการภาครัฐ การให้สิทธิทำกินในที่ดินของรัฐ โครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ ฯลฯ
คำพูดของ พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ที่แถลงถึงความต้องการผลักดันแนวทางการปฏิรูปใน 5 เรื่อง สำคัญและเร่งด่วนของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ
ต่อมาก็ได้รับการขยายความเพิ่มเติมจาก นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ที่เพิ่งประชุมครั้งที่ 1 /2561 ว่า ในสัปดาห์หน้า จะพูดคุยเรื่องเร่งด่วนที่จะต้องทำทันทีในเดือนมิถุนายนนี้ ในส่วนกระทรวงต่างๆ ก็จะทำแผนปฏิรูปกระทรวง ควบคู่ไปด้วยเพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรี ในอีก 2 เดือนนี้ด้วย
“อะไรที่จำเป็นที่ต้องขอให้นายกฯ ออกมาตรา 44 เพื่อประชาชนได้ประโยชน์ และเปลี่ยนแปลงชีวิตความเป็นอยู่ก็จะนำเสนอ โดยจะต้องไปดูเรื่องเร่งด่วน 5 เรื่อง ว่าอะไรเป็นเรื่องสำคัญที่จะต้องใช้ มาตรา 44 เช่น เรื่องการปลูกไม้มีค่าในที่ดินกรรมสิทธิ์ เช่น ไม้พะยูง ไม้สัก เป็นต้น ที่จะต้องแก้ไข พ.ร.บ. ป่าไม้ พ.ศ. 2484 ใช้เวลาอย่างนานกว่า 6 เดือน ซึ่งคณะกรรมการขับเคลื่อนฯ มีหน้าที่เข็นสัมภาระเดินไปข้างหน้า แต่เวลาเข็นติดปัญหา ดังนั้น คณะกรรมการขับเคลื่อนฯ มีหน้าที่เข้าไปลดเวลา ทำให้การปฏิรูปเดินหน้าไปได้ระยะเวลาที่เหลืออยู่อีก 8 เดือนข้างหน้าให้เปลี่ยนจากแผน หรือกระดาษ ให้กลายเป็นจริง” นายกอบศักดิ์ ระบุ
น่าจับตาทีเดียวสำหรับแผนการปฏิรูป 5 เรื่องเร่งด่วนของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ตามการแถลงดังกล่าวบอกว่าจะเร่งผลักดันให้เห็นผลภายใน 8 เดือน และ “ก่อนการเลือกตั้ง” นั่นแหละ มีความหมายนัก
เพราะอย่างที่รู้กันดีว่า เรื่องสำคัญที่ชาวบ้านต้องการให้ พล.อ.ประยุทธ์ ใช้อำนาจพิเศษผลักดันให้สำเร็จโดยเร็ว ก็คือ “การปฏิรูปราชการ โดยเฉพาะการปฏิรูปตำรวจ” และเรื่องถัดมาก็คือ การแก้ปัญหา “ปากท้อง” ของชาวบ้าน แค่สองเรื่องนี่หากทำจริงจัง ทำให้สำเร็จตามที่ชาวบ้านต้องการ ไม่ว่ากองหนุนเก่า หรือใหม่ จะต้องเข้ามาห้อมล้อมกันตรึม
แต่คำถามก็คือ ที่ผ่านมา ทำไมถึงได้ช้านัก หรือวางเฉยทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ปล่อยให้เวลาล่วงเลยมาจนถึงเวลานี้ ซึ่งก็เหลือเวลาอีกไม่กี่เดือนแล้ว อย่างเรื่องการปฏิรูปตำรวจ ก็เพิ่งมาเร่งเอาตอนนี้ที่มีการแต่งตั้ง นายมีชัย ฤชุพันธุ์ เป็นประธานคณะกรรมการพิจารณา ร่าง พ.ร.บ. ตำรวจแห่งชาติ ซึ่งเนื้อหาส่วนใหญ่ที่แถลงออกมา ก็ถือว่า “มีหลักการ ลงลึกในเชิงโครงสร้าง” ซึ่งก็ทำให้สงสัยกันว่า ทำไมไปเสียเวลากับคณะกรรมการปฏิรูปตำรวจในชุดของ พล.อ.บุญสร้าง เนียมประดิษฐ์ ที่ส่วนใหญ่มุ่งเน้นในเรื่องสวัสดิการของตำรวจ และความพึงพอใจของตำรวจเป็นหลักอยู่ตั้งนาน แต่พอจะเอาจริงในชุดของ นายมีชัย ก็พั๊วะพะ เข้าเนื้อหาทันที ซึ่งที่จริงก็ไม่มีอะไรมาก เรื่องการปฏิรูปตำรวจนั้นมีข้อสรุป มีผลการศึกษามากันเป็นร้อยครั้ง จนตกผลึกแล้ว เพียงแต่ว่าจะเลือกนำมาใช้แบบไหน แบบเอาจริง หรือ “ต้องการซื้อเวลา” และการทำงานของคณะกรรมการชุดของ นายมีชัย ก็ยังไว้ใจไม่ได้ แม้ว่าจะดูตามรูปการณ์แล้ว น่าจะใช่ แต่ก็ต้องรอลุ้นกันว่า ในชั้นของสภานิติบัญญัติ จะ “ตกม้าตาย” อีกหรือไม่ ดังนั้น ก็ต้องขึ้นกับสัญญาณ ของ พล.อ.ประยุทธ์ นั่นแหละ ว่าต้องการแบบไหน เอาจริง หรือไม่
วกมาที่ 5 เรื่องเร่งด่วนดังกล่าว แน่นอนว่า มันเป็น “เรื่องใหญ่” เป็นเรื่องในฝันของชาวบ้านทั้งสิ้น และยังรู้ด้วยว่ามันเป็นเรื่องใหญ่ไม่ใช่ทำสำเร็จได้เพียงชั่วข้ามคืน หรือในช่วง 8 เดือน ดังที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ต้องการ แน่นอนว่า บางเรื่องอาจทำได้ เช่น เรื่องการปฏิรูปราชการ และการอำนวยความสะดวกกับชาวบ้าน รวมไปถึงการแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวกับป่าชุมชน ในเรื่องที่จะเปิดทางให้ชาวบ้านสามารถปลูกป่าไม้หวงห้ามในพื้นที่ของตัวเองและสามารถตัดนำไปจำหน่ายได้ ซึ่งในปัจจุบันยังทำไม่ได้นั้น จากการเปิดเผยของ นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล ที่บอกว่า จะมีการใช้ มาตรา 44 ดำเนินการแก้ไข เพื่อความรวดเร็ว จากเดิมที่ต้องใช้เวลานานถึง 6 เดือนก็ใช้เวลาไม่กี่สัปดาห์ โดยจะเริ่มลงมือตั้งแต่การประชุมคณะรัฐมนตรีสัญจรที่ จังหวัดสุรินทร์ ในสัปดาห์หน้านี้เลย ก็ถือว่าน่าจับตา
ส่วนเรื่องปากท้องนั้น ระยะเวลา 8 เดือน ถือว่าน่าสนใจมาก ว่าจะเป็นแบบไหน เพราะมันไม่ใช่เรื่องง่าย การจะทำให้เห็นผลนั่นหากทำได้ก็คงทำมานานแล้ว คงไม่ปล่อยให้ถูกพวกนักการเมืองและชาวบ้านวิจารณ์รัฐบาลมานานกว่า 3 ปีหรอก ขณะเดียวกัน หาจะให้เห็นผลมันก็ต้องขึ้นอยู่กับความรู้สึกของชาวบ้านด้วย ว่าพอใจแค่ไหน
แต่เอาเป็นว่างานนี้หากพิจารณากันในทางการเมือง ถือว่า นี่คือการ “งัดท่าไม้ตาย” ออกมาใช้ในช่วงยกสุดท้าย เพื่อหวังชนะหรือ “น็อก” ฝ่ายตรงข้ามกันเลยทีเดียว เพราะทั้ง 5 เรื่องถือว่า “โดนใจ” ชาวบ้านทั้งสิ้น หากทำได้สำเร็จ หรือเห็นหนทาง เห็นหน้าเห็นหลัง อย่าว่าแต่กองหนุนเก่าๆ จะกลับมา กองหนุนใหม่ก็เทคะแนนให้ไม่อั้น
ขณะเดียวกัน หากทำได้สำเร็จนี่แหละคือวิธีกำจัด ทักษิณ ชินวัตร อย่างแท้จริง และได้ผลชะงัดที่สุด แต่ขึ้นอยู่กับว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะมีความกล้าหาญแค่ไหน หรือแค่หยอดความหวัง ซื้อเวลากันไม่จบสิ้น!!