เมืองไทย 360 องศา
“ผมสนับสนุนท่านนายกฯ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” อยู่แล้ว แต่ยังไม่ได้บอกว่าจะร่วมงานด้วย”
“ผมอายุเยอะแล้ว”
คำพูดล่าสุดเมื่อวันที่ 30 เมษายน ของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เมื่อถูกถามถึงเรื่องการสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ให้เป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้งหลังการเลือกตั้งครั้งหน้า หรือไม่
นอกเหนือจากคำถามที่พวกเขาต้องพบเจอในฐานะผู้ถืออำนาจรัฐในนามคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) และรัฐบาลในเรื่องความหมายของ “พลังดูด” ที่เวลานี้กำลังถูกพวกนักการเมืองรุมวิจารณ์อย่างหนัก จากความเคลื่อนไหวแบบนี้ให้เห็นถี่ยิบมากขึ้น โดย พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ย้ำว่า การดูด ส.ส. ดังกล่าวไม่ขัดรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นคำพูดที่น่าจะสอดคล้องกับกับพูดของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ก่อนหน้านี้ทำนองว่าเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นมานานแล้วและหลายพรรคก็ทำมาแล้ว ถือว่าไม่ใช่เรื่องแปลก อะไรประมาณนี้
อย่างไรก็ดี นาทีนี้อยากให้โฟกัสไปที่คำพูดข้างต้นของ “พี่ใหญ่” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ คนนี้ ที่ยังสงวนท่าทีว่า “จะร่วมงานกับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ต่อหรือไม่” หาก พล.อ.ประยุทธ์ กลับมาเป็นนายกฯอีกรอบหลังการเลือกตั้ง
คำพูดที่แทงกั๊กแบบนี้มันมีนัยทางการเมืองแบบไหน ซึ่งมองได้สองมุมว่าเป็นท่าทีทางการเมืองของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ว่า “พอแล้ว” ด้วยเหตุผลที่บอกว่า “อายุเยอะ” นั่นแหละ และที่สำคัญเขามีข่าวเรื่องปัญหาเรื่องสุขภาพมาตลอด หากจำกันได้เมื่อไม่นานมานี้ระหว่างที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นำคณะรัฐมนตรีที่เป็นทหารเข้ารดน้ำขอพร “ป๋าเปรม” พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษที่บ้านสี่เสาเทเวศร์เมื่อช่วงสงกรานต์ที่ผ่านมา ก็ได้บอกป๋าเปรม ว่า สาเหตุที่ “บิ๊กป้อม” ไม่ได้มาร่วมด้วย เนื่องจากต้องไป “ผ่าตัดบายพาสหัวใจ” แม้ว่าจะมีการปฏิเสธกันในเวลาต่อมาทำนองว่าเดินทางไปต่างประเทศไปตรวจสุขภาพตามปกติ และที่ผ่านมาก็เคยไปผ่าตัดบายพาสมาแล้ว
แม้ว่ามีการปฏิเสธว่าไม่ได้มีปัญหาสุขภาพในเวลานี้ แต่ในคำพูดดังกล่าวมันก็เป็นคำตอบในตัวของมันเองอยู่แล้วว่าเขาเคยทำบายพาสหัวใจ ยืนยันเรื่องปัญหาสุขภาพ อีกทั้งก่อนหน้านั้นก็เคยประสบอุบัติเหตุลื่นล้ม ทำให้เดินไม่สะดวก ประกอบด้วยอายุที่มากเกินกว่า 70 ปีแล้ว ด้วยสภาพดังกล่าวก็อาจทำให้มองเห็นว่า “มีปัญหาเรื่องสุขภาพ” จริงจนต้องขอบาย ไม่ไปต่อกับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
แต่อีกด้านหนึ่งจากท่าทีดังกล่าว คำพูดดังกล่าวที่บอกว่า “ยังไม่ได้บอกว่าจะร่วมงานด้วย” มันก็อาจเป็นเกมการเมือง เพื่อต้องการ “ลดกระแสต้าน” ลดแรงกดดันต่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ให้ลดลง เพราะหากพิจารณาตามความเป็นจริง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ มีภาพในทางสังคมไม่ดีนัก ซึ่งเชื่อว่าเขาจะรับรู้สภาพแบบนี้ได้ดี โดยเฉพาะภาพลักษณ์ “สีเทา” ที่ติดตัวมานาน
และยิ่งเจอแรงกระแทกจากกรณี “แหวนแม่แหวนพ่อ นาฬิกาเพื่อน” กระหน่ำเข้ามาอย่างแรง จนทำเอาซวนเซเกือบพัง หรือแม้ว่าจะไม่พังครืนลงไปทันควัน แต่ทำให้ภาพลักษณ์ของรัฐบาล รวมทั้ง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เสื่อมทรุดอย่างหนักที่ออกมาปกป้องอย่างสุดตัว
ภาพลักษณ์ของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ในสายตาภายนอกจึงปฏิเสธไม่ได้ว่านี่คือ “ตัวถ่วง” แต่ขณะเดียวกันแล้วในความเป็นจริง เชื่อว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา คงไม่อาจสลัดได้ เพราะ “พี่ใหญ่” คนนี้มี “เพาเวอร์” ในระดับที่ไม่อาจปฏิเสธได้ จนสงสัยกันว่าทั้งในรัฐบาลและใน คสช. ใครกันแน่ที่เป็น “เบอร์หนึ่ง” แท้จริง
เมื่อความเป็นจริงเป็นแบบนี้และเมื่อย้อนมาพิจารณาจากคำพูดล่าสุดของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หากเป็นเรื่องปัญหาสุขภาพตามที่ระบุจริง มันก็เป็นไปได้เหมือนกันที่เขาจะไม่ร่วมเดินทางไปต่อกับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หากได้เป็นรัฐบาลหลังการเลือกตั้ง เป็นเพียงแค่ “กองหนุน” อยู่ที่บ้าน แต่อีกด้านหนึ่งก็อาจเป็นเทคนิกที่ลดกระแสต้าน ลดแรงกดดันให้ พล.อ.ประยุทธ์ ให้เดินหน้ากู้ภาพลักษณ์ให้กลับมาได้ดีขึ้น
อีกทั้งตัวเองก็ไม่ต้องตกเป็นเป้าโจมตีจากการเมืองฝ่ายตรงข้าม อย่างน้อยหากเป็นคำพูดที่เป็นเทคนิก เป็นเกมทางการเมืองชั่วคราวไว้ก่อน และมีบทบาทหลังฉากไปก่อน จนกว่าจะได้จังหวะแล้วค่อยกลับมา แต่ตอนนี้ขอหลบกระแสร้อนหน้าฉากไปก่อนแล้วกัน!!