“ราเมศ” แขวะ “ไพร่เทียม” ลำบากลงทุนแต่งเป็นคนจรจัดไป ป.ป.ช. ยันคดีสลายชุมนุม 53 ถึงที่สุดแล้ว ไล่ไปสู้ดีล้มประชุมอาเชียนที่พัทยาดีกว่า เตรียมร่อนหนังสือถามความคืบหน้า อสส.
วันนี้ (10 เม.ย.) นายราเมศ รัตนะเชวง รองโฆษกและคณะทำงานด้านกฎหมายพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำ นปช. แต่งตัวแบบคนจรจัดเดินทางไปที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เพื่อทวงถามคดีเกี่ยวกับการสลายการชุมนุม ปี 2553 ว่าไม่น่าเชื่อว่านับแต่ คสช.ห้ามทำกิจกรรมทางการเมือง นายณัฐวุฒิจะลำบากขนาดนี้ รอปลดล็อกเชื่อว่าได้จัดสักเวทีสองเวทีก็ดีขึ้น และเรื่องนี้ตนได้ออกมาชี้แจงนายณัฐวุฒิหลายครั้งแล้วว่าให้เคารพกฎหมายและเคารพกระบวนการยุติธรรม คดีนี้ศาลฎีกาได้มีคำพิพากษายกฟ้อง เพราะศาลเห็นว่าคดีนี้อยู่ในอำนาจหน้าที่ของ ป.ป.ช.เป็นผู้วินิจฉัย เพราะเมื่อเป็นการฟ้องว่ากระทำการจากการออกคำสั่งบริหารราชการในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และรองนายกรัฐมนตรี ก็ถือว่าเป็นผู้ดำรงตำแน่งทางการเมือง ซึ่งกฎหมายระบุเจตนารมณ์ไว้ชัดเจนให้กระบวนการพิจารณาคดีในลักษณะนี้เป็นอำนาจหน้าที่ของ ป.ป.ช. ก็ต้องมาดูว่าผลการไต่สวนพิจารณาของ ป.ป.ช.เป็นอย่างไร เมื่อ ป.ป.ช.พิจารณาโดยละเอียดแล้วก็มีคำวินิจฉัยว่าไม่มีความผิดแต่อย่างใด ตามหลักกฎหมายต้องถือว่าคดีถึงที่สุด
นายราเมศกล่าวต่อว่า การที่ชอบอ้างว่ามีพยานหลักฐานใหม่ตามคำพิพากษาศาลฎีกานั้น เป็นการบิดเบือนทั้งสิ้น คดีที่ศาลฎีกาได้ยกฟ้องนั้น นายบัณฑิต ศิริพันธ์ ทนายความ ได้ยื่นคำร้องให้มีการวินิจฉัยชี้ขาดข้อกฎหมาย ยังไม่มีการพิจารณาในข้อเท็จจริง ไม่มีการสืบพยาน และต่อมาศาลฎีกาได้ยกฟ้องนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกฯ และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกฯ นี่คือความเป็นจริงที่นายณัฐวุฒิบิดเบือน ที่จริงแล้วนายณัฐวุฒิควรไปตามคดีล้มประชุมผู้นำอาเซียน ปี 2552 ว่าคดีที่นายณัฐวุฒิถูกดำเนินคดีฐานผู้ใช้ ผู้สนับสนุน ไปถึงไหนแล้ว คดีนี้น่าจะเป็นตัวการร่วมด้วยซ้ำ เพราะแบ่งหน้าที่กันทำอย่างชัดเจน ผู้บุกไปล้มการประชุมมีความผิดก็จะดูว่านายณัฐวุฒิจะสู้คดีอย่างไร คดีนี้ค้างอยู่ที่สำนักงานอัยการนานมากแล้ว ดังนั้น หลังสงกรานต์ตนจะทำหนังสือถึงอัยการสูงสุดเพื่อสอบถามความคืบหน้าของคดี