นายทะเบียนพรรคการเมือง ไม่รับจดแจ้งชื่อพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย เหตุเข้าข่ายลักษณะต้องห้ามตามกฎหมายพรรคการเมือง เป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
วันนี้ (20 มี.ค.) พ.ต.อ.จรุงวิทย์ ภุมมา รักษาการเลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) และนายทะเบียนพรรคการเมือง แถลงกรณีมีกลุ่มการเมืองยื่นขอจดจัดตั้งพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย ว่านายทะเบียนพรรคการเมืองได้พิจารณาแล้วเห็นว่า ชื่อและสัญลักษณ์ที่กลุ่มการเมืองได้ยื่นขอขัดต่อกฎหมายพรรคการเมืองมาตรา 18 วรรคสาม ที่ระบุว่า ชื่อ ชื่อย่อ ภาพ เครื่องหมายของพรรคการเมือง ที่ขอจดจัดตั้งนั้นต้องไม่มีลักษณะตามมาตรา 14 ใน ข้อ 1 ไม่เป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และต้องไม่เปลี่ยนแปลงรูปแบบของรัฐ จึงจะทำหนังสือแจ้งผู้จดแจ้งชื่อว่าไม่สามารถรับจดแจ้งชื่อพรรคการเมืองดังกล่าวได้ แต่ทั้งนี้ไม่ได้ตัดสิทธิคนกลุ่มดังกล่าวที่อาจจะมายื่นขอจดจัดตั้งในชื่อใหม่ เพราะเป็นสิทธิตามรัฐธรรมนูญที่ประชาชนทุกคนมีสิทธิจะตั้งพรรคการเมือง แต่สิทธิดังกล่าวต้องอยู่ภายใต้กรอบกฎหมาย อย่างไรก็ตาม การขอจดจัดตั้งพรรคการเมือง นายทะเบียนพรรคการเมืองจะไม่ได้พิจารณาเฉพาะชื่อ ชื่อย่อ สัญลักษณ์ ของพรรคเท่านั้น แต่จะดูถึงอุดมการณ์และนโยบายที่พรรคจะดำเนินการเมื่อมีการประชุมสมาชิก 500 คนแล้วมีการรับรองข้อบังคับพรรคต่างๆ หากภายหลังนายทะเบียนพรรคการเมืองพบว่าเข้าลักษณะขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีก็อาจไม่รับจดแจ้งเป็นพรรคการเมืองได้
พ.ต.อ.จรุงวิทย์กล่าวอีกว่า ในส่วนของการยื่นขอจดจัดตั้งพรรคจนถึงขณะนี้มีทั้งหมด 65 พรรคการเมือง ซึ่งยังไม่กลุ่มการเมืองใดที่นายทะเบียนฯออกหนังสือรับแจ้งการตั้งพรรคการเมือง (ใบ พ.ก.7/2) เนื่องจากยังอยู่ระหว่างการตรวจสอบคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของผู้ร่วมจดจัดตั้ง แต่ทุกกลุ่มสามารถที่จะดำเนินการยื่นหนังสือถึง คสช.เพื่อขออนุญาตจัดประชุมสมาชิกพรรคผ่านทาง กกต.ได้เลย และเมื่อ คสช.อนุญาตก็จะมีหนังสือแจ้งตรงไปยังกลุ่มการเมืองนั้นๆ อย่างไรก็ตาม จนถึงขณะนี้มี 10 กลุ่มการเมืองที่ยื่นหนังสือขออนุญาตผ่านมาทาง กกต.แล้ว แต่มีเพียง 1 พรรคการเมือง คือ พรรคทางเลือกใหม่เท่านั้นที่ คสช.มีหนังสืออนุญาตให้จัดประชุมในวันที่ 24 มี.ค. โดยในวันดังกล่าว กกต.คงไม่ส่งเจ้าหน้าที่ไปสังเกตการณ์ เพราะนายทะเบียนฯ จะมีวิธีตรวจสอบอยู่แล้ว รวมทั้งคิดว่าการจัดประชุมควรเป็นเรื่องภายในของพรรคที่ต้องดำเนินการเอง