ว่าที่หัวหน้าพรรคไทยศรีวิไลย์ เห็นต่างนิติราษฎร์ มองการลงโทษ ม.112 ถือว่าเบาแล้ว ถ้าเทียบกฎหมายตราสามดวงเดิม และไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งกับแนวคิดให้รัฐไทยเลิกอุปถัมภ์ศาสนาพุทธ เพราะผิด รธน.60 เป็นความคิดที่อันตรายมากสำหรับประเทศไทย
วันนี้ (19 มี.ค.) เมื่อเวลา 14.00 น. นายมงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์ ว่าที่หัวหน้าพรรคไทยศรีวิไลย์ ให้สัมภาษณ์กรณีเห็นด้วยหรือไม่ที่จะมีการแก้ไขปรับปรุง ป.อาญา มาตรา 112 ตามแนวคิดของกลุ่มคณะนิติราษฎร์ ณ ปัจจุบันเป็นหนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้งพรรคอนาคตใหม่ และเห็นด้วยหรือไม่กับแนวคิดที่จะให้รัฐไทยเลิกอุปถัมภ์ศาสนาพุทธและศาสนาอื่น แนวคิดของนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ผู้ก่อตั้งพรรคอนาคตใหม่
นายมงคลกิตติ์กล่าวว่า โดยปกติถ้าไม่มีใครถาม ตนจะไม่ตอบในประเด็นเหล่านี้เพราะเป็นเรื่องละเอียดอ่อน ส่วนตัวแล้วคิดว่าคำถามข้อ 1 ไม่เห็นด้วยกับการแก้ไขหรือยกเลิก ป.อาญา มาตรา 112 ซึ่งมาตราดังกล่าวได้วางหลักไว้ชัดเจนว่า “ผู้ใดหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สามปีถึงสิบห้าปี” โดยกฎหมายดังกล่าวมีไว้เพื่อปกป้องพระเกียรติของสถาบันพระมหากษัตริย์ พระบรมวงศานุวงศ์ ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 หมวด 2 พระมหากษัตริย์ มาตรา 6 องค์พระมหากษัตริย์ทรงดํารงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดจะละเมิดมิได้ ผู้ใดจะกล่าวหาหรือฟ้องร้องพระมหากษัตริย์ในทางใดๆ มิได้ ในรัฐธรรมนูญฉบับนี้ก็ได้ผ่านการประชามติของประชาชนเกินกว่ากึ่งหนึ่ง ซึ่งก็มีผู้วิจารณ์ว่าอัตราโทษมีสูงมากถึง 15 ปี ตนมองว่าประชาชนทั่วไปใครถูกหมิ่นประมาท ตาม ป.อาญา ม.326, 328 ก็มีอัตราโทษอยู่ที่ 2 ปี นั่นหมายความว่าประชาชนทั่วไปยังมีกฎหมายคุ้มครอง ดังนั้น สถาบันพระมหากษัตริย์ พระบรมวงศานุวงศ์ จะไม่มีกฎหมายคุ้มครองได้อย่างไร อีกทั้งกฎหมายที่มีอยู่ยิ่งต้องเข้มงวดกับผู้ที่บังอาจก้าวล่วงเบื้องสูงไปโดยมีเจตนาพิเศษ ที่ผ่านมาก็มีหลายคน เราคนไทยต้องเข้าใจก่อนว่าประเทศไทยเรามีพระมหากษัตริย์มาถึง 53 พระองค์แล้ว ตั้งแต่กรุงสุโขทัย กรุงศรีอยุธยา กรุงธนบุรี จวบจนกรุงรัตนโกสินทร์ ร่วม 780 ปี ประเทศไทยอยู่ได้ทุกวันนี้ มีราชอาณาเขต มีความเป็นชาติไทยอยู่ได้อย่างปกติสุขเพราะบุญคุณของพระองค์ท่าน และพวกเรายังไม่สามารถทดแทนพระคุณได้ที่สถาบันพระมหากษัตริย์ทุกพระองค์ท่านได้ทำคุณูปการไว้ก็มิใช่เพื่อประชาชนชาวไทยดอกหรือ ทั้งเอาเลือดเนื้อชีวิตเข้าแลกมาเพื่อความผาสุกของอาณาประชาราษฎร์
ดังนั้น โดยส่วนตัวตนเองจึงไม่เห็นด้วยเป็นอย่างยิ่งต่อการแก้ไขหรือยกเลิก ป.อาญา มาตรา 112 และสมควรมีอยู่คงเดิม เพราะโทษนั้นไม่มากถ้าเทียบกับกฎหมายตราสามดวง พ.ศ. 2347 ในสมัยรัชกาลที่ ๑-๕ หรือกฎหมายลักษณะอาญา พ.ศ. 2451 ในสมัยรัชกาลที่ ๕-๙ ยังแรงกว่านี้มาก
ส่วนในคำถาม ข้อ 2 ว่าเห็นด้วยหรือไม่กับแนวคิดที่ให้รัฐไทยเลิกอุปถัมภ์ศาสนาพุทธ ตนขอตอบอย่างฟันธงว่าไม่เห็นด้วยกับแนวคิดนี้ที่จะให้รัฐไทยเลิกอุปถัมภ์ศาสนาพุทธ เพราะพระพุทธศาสนาเกิดมาก่อนตั้งกรุงสุโขทัยเป็นราชธานีด้วยซ้ำไป และตั้งแต่เริ่มตั้งกรุงสุโขทัย สมัยพ่อขุนศรีอินทราทิตย์เป็นพระมหากษัตริย์ และชาวกรุงสุโขทัยก็นับถือศาสนาพุทธเป็นส่วนใหญ่เกือบทั้งหมด จวบจนปัจจุบันกรุงรัตนโกสินทร์ในแผ่นดินรัชสมัยรัชกาลที่ ๑๐ ประชาชนในประเทศกว่า 65 ล้านคน กว่า 94.6% ก็นับถือศาสนาพุทธ อีก 5.4% นับถือศาสนาอื่นๆ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 31 ประชาชนมีเสรีภาพในการนับถือศาสนา การดูแลอุปถัมภ์คุ้มครองศาสนาพุทธและศาสนาอื่น เป็นหน้าที่ของรัฐบาลไทยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 67 ที่จะต้องดูแลอุปถัมภ์ตามสัดส่วนที่เหมาะสม จะให้เลิกอุปถัมภ์คงไม่ได้ ถ้าจะเลิกต้องแก้ไขรัฐธรรมนูญซึ่งไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะรัฐธรรมนูญฉบับนี้ผ่านการประชามติแล้ว ทุกศาสนาสอนให้ทุกคนเป็นคนดี ไม่เบียดเบียนกัน ถ้าไม่มีศาสนา ประชาชนจะไม่มีที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ ไม่สามารถแยกแยะดีชั่วได้ บ้านเมืองจะวุ่นวาย ใครคนใดหรือกลุ่มใดมีแนวคิดแบบนี้ ตนบอกได้ว่า “อันตรายมาก” สำหรับประเทศไทย