“กกต.สมชัย” เหน็บพวกโลกสวย ชี้การเมืองต้องใช้ทุน ไม่ใช่แค่เรื่องการมีส่วนร่วม ปชช. ระบุพรรคใหม่หวังสิทธิเสนอชื่อนายกฯ ต้องส่งสมัครให้มากเขตที่สุดเหตุเลือกตั้งใช้บัตรใบเดียว ไม่ลงเขตไม่มีคะแนนรายชื่อ คาดถึงประหยัดงบ แต่ละพรรคก็ใช้ไม่ต่ำกว่า 50 ล้าน เชื่อคะแนนพรรคต้องได้ 7 หมื่นเสียงขึ้นถึงจะได้ ส.ส.บัญชีรายชื่อ 1 คน
วันนี้ (5 มี.ค.) นายสมชัย ศรีสุทธิยากร กรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) กล่าวถึงการเลือกตั้ง ส.ส.ที่จะมีขึ้นว่า ส.ส.บัญชีรายชื่อหนึ่งคนที่แต่ละพรรคจะได้นั้นคาดว่าต้องใช้คะแนนเสียงของพรรคถึง 70,000 เสียง โดยถ้าเอาตัวเลขง่ายๆ ว่าประชาชนผู้มีสิทธิออกเสียงมี 50 ล้าน มาใช้สิทธิร้อยละ 70 คิดเป็น 35 ล้านคน จำนวน ส.ส.ทั้งสภา มี 500 คน เอา 35 ล้านหารด้วย 500 ได้ผลคือ 70,000 เสียง นั่นแปลว่าการคำนวณ ส.ส.ที่พึงจะมีของพรรคการเมืองแต่ละพรรค คือ 70,000 เสียง ต่อจำนวน ส.ส.1 คน สำหรับพรรคการเมืองใหญ่ หากได้ ส.ส.เขตมา 200 คน แต่หากรวมคะแนนทั้งประเทศแล้วได้แค่ 14 ล้านเสียง แปลว่าจะไม่ได้ ส.ส.บัญชีรายชื่อเพิ่มแม้แต่คนเดียว คะแนนที่เกิน 14 ล้าน ทุก 70,000 คน คือ ส.ส.บัญชีรายชื่อที่เพิ่มขึ้น 1 คน สมมติว่าได้รวมทั้งประเทศ เป็น 16.1 ล้านเสียง ที่เกินมา 2.1 ล้าน คือ ส.ส.บัญชีรายชื่ออีก 30 คน ทำให้ท่านได้ ส.ส.ในสภารวม 230 คน เป็นต้น
นายสมชัยกล่าวอีกว่า สำหรับพรรคการเมืองพรรคเล็ก หรือพรรคที่ตั้งใหม่ ที่คิดว่าตั้งพรรคอยากจะได้ ส.ส.บัญชีรายชื่อสัก 25 คน เพื่อสามารถเสนอชื่อนายกจากบัญชีของตนเองเพื่อแข่งขัน โดยไม่หวังว่าจะชนะในเขตเลือกตั้งใดเลย ก็ต้องได้คะแนนรวมจากผู้สมัครทั้งประเทศ 1.75 ล้านคะแนน ซึ่งคะแนนจะได้ต่อเมื่อส่งผู้สมัครลงสู้ในเขตต่างๆ ให้มากเขตที่สุด เพราะเลือกตั้งครั้งนี้ใช้บัตรใบเดียว ไม่ลงเขตก็ไม่มีคะแนนบัญชีรายชื่อ หากลงทุกเขต เอา 1.75 ล้านหาร 350 เขต ได้ 5,000 แปลว่าทุกเขตต้องได้อย่างน้อย 5,000 คะแนน
“เมื่อลองคำนวณค่าใช้จ่ายของพรรคเล็ก เพื่อให้ได้คะแนนทั้งประเทศสัก 1.75 ล้านคะแนน ค่าสมัครเขตละ 10,000 รวม 350 เขต ก็ 3.5 ล้านบาท ค่าใช้จ่ายหาเสียง พรรคใหญ่อาจจะใช้เขตละ 1.5 ล้าน พรรคเล็กอาจจะใช้ประหยัดเขตละ 100,000 รวม 350 เขต ก็ 35 ล้าน รวมกับจิปาถะต่างๆ น่าจะ 40-50 ล้าน ต่อพรรค ซึ่งยังไม่เป็นหลักประกันว่าจะได้ 5,000 คะแนนต่อเขตหรือไม่ ใครบอกการเมืองเป็นแค่เรื่องการมีส่วนร่วมของประชาชน ไม่จำเป็นต้องใช้ทุน อาจต้องคิดใหม่”