“ประยุทธ์” ปลื้มได้ต้อนรับอาคันตุกะจากหลายประเทศในยุโรป หลังมีมติกลับมาติดต่อทางการเมืองของไทยในทุกระดับ โวต่างชาติเชื่อมั่นในพัฒนาการทางประชาธิปไตยของไทย พร้อมเผยองค์การฯด้านงบประมาณประเมินไทยสูงขึ้น 28 อันดับ สะท้อนถึงความโปร่งใส
วันนี้ (16 ก.พ.) เวลา 20.15 น. พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ “ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน” ออกอากาศทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย ตอนหนึ่งว่า ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ประเทศไทยได้มีโอกาสต้อนรับอาคันตุกะจากหลายประเทศในยุโรป ได้แก่ อิตาลี, สหราชอาณาจักร ,ราชอาณาจักรสเปน และ ฝรั่งเศส ซึ่งตนก็ได้มีโอกาสพบปะสร้างความเข้าใจ รวมทั้งแลกเปลี่ยนความคิดเห็น คุยกันเรื่องวิสัยทัศน์ และนโยบาย ท่านแรกคือรัฐมนตรีต่างประเทศอิตาลี ก็นับเป็นรัฐมนตรีต่างประเทศรายแรกของสหภาพยุโรปที่เดินทางเยือนไทยอย่างเป็นทางการ หลังจากที่สหภาพยุโรปได้มีมติกลับมาติดต่อทางการเมืองของไทยในทุกระดับ โดยได้มีการส่งสัญญาณทางการเมืองที่ต้องการรื้อฟื้นและกระชับความสัมพันธ์ในระดับรัฐบาลกับไทยให้ใกล้ชิดยิ่งขึ้น และยังถือเป็นการเฉลิมฉลอง 150 ปี ของการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการของทูตทั้ง 2 ประเทศด้วย
ทั้งนี้ ได้มีการกล่าวชื่นชมการดำเนินการตามแผนของรัฐบาล และแจ้งว่า จะช่วยถ่ายทอดเรื่องนี้ให้กับสหภาพยุโรป รับทราบอีกทางหนึ่ง ถึงการพัฒนาการของประเทศเรา นอกจากนี้ ยังแสดงความพร้อมที่จะช่วยให้ข้อมูลเชิงบวกของไทยในเวทีสหภาพยุโรป ในประเด็นสำคัญ อาทิ การแก้ไขปัญหา IUU รวมถึงชื่นชมนโยบายเกี่ยวกับ EEC ก็กล่าวว่าเป็นยุทธศาสตร์ระยะยาวที่ชัดเจนของไทย โดยพร้อมที่จะสนับสนุนให้รัฐบาลและเอกชนของอิตาลีศึกษาโอกาสการลงทุนใน EEC ด้วย
อีกประเทศที่ได้มีโอกาสพบปะหารือ ก็คือ สหราชอาณาจักร โดยได้พบกับรัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศ นายบอริส จอห์นสัน ที่มีบทบาทสำคัญในการสนับสนุน BREXIT ในการมาเยือนไทยครั้งนี้ ถือเป็นการย้ำถึงความสำคัญของความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับสหราชอาณาจักร ที่มีมายาวนานกว่า 400 ปี แสดงให้เห็นถึงเจตนารมณ์ที่จะส่งเสริมและกระชับความร่วมมือในด้านต่างๆ ที่เป็นผลประโยชน์ร่วมกัน ทั้งสองฝ่ายจะส่งเสริมการค้าการลงทุนระหว่างกัน ผมได้เชิญชวนให้นักลงทุนชาวอังกฤษ ได้พิจารณามาลงทุนใน EEC และก็หวังว่า สหราชอาณาจักรจะเห็นพ้องในการให้ไทยเป็นศูนย์กลางด้านการค้า-การลงทุน เพื่อผ่านไปยังประเทศ CLMV และประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนด้วย ซึ่งทางสหราชอาณาจักรเองก็มีนโยบาย Global Britain ที่เน้นการค้าเสรี เปิดโอกาสให้สหราชอาณาจักร มีการค้ากับประเทศต่างๆ ทั้งภายในและภายนอกยุโรปมากยิ่งขึ้น ก็นับว่าเป็นโอกาสดีที่ไทยและสหราชอาณาจักรจะขยายความสัมพันธ์ทางการค้า - การลงทุน ระหว่างกันต่อไป
นอกจากนี้ รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศสหราชอาณาจักร ยังชื่นชมไทยที่ได้รับการปรับสถานะเป็นประเทศที่น่าลงทุนดีขึ้นแบบก้าวกระโดด มาอยู่อันดับที่ 26 ทั้งยังเชื่อมั่นในพัฒนาการทางประชาธิปไตยของไทย และสนับสนุนกระบวนการไปสู่การเป็นประชาธิปไตยที่ยั่งยืนของไทยตามโรดแมปด้วย
นายกฯ กล่าวต่ออีกว่า ตนได้มีโอกาสพบปะหารือกับเอกอัครราชทูตราชอาณาจักรสเปนประจำประเทศไทย ในโอกาสที่ได้เข้ามารับตำแหน่ง ตัวท่านเองมีความตั้งใจที่จะช่วยพัฒนาความร่วมมือระหว่างไทยและสเปนให้ใกล้ชิดยิ่งขึ้นทุกมิติ ทั้งการเมือง เศรษฐกิจ ความมั่นคง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการท่องเที่ยวและความสัมพันธ์ระดับประชาชนต่อประชาชน และก็ได้หารือในเรื่องการเพิ่มการลงทุนของ EEC ในอุตสาหกรรมที่ สเปนมีความเชี่ยวชาญ โดยเฉพาะด้านวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี นวัตกรรม โครงสร้างพื้นฐาน และพลังงาน ซึ่งภาคเอกชนสเปน มีความพร้อมและสนใจที่จะร่วมสนับสนุนการพัฒนาโครงการ EEC ของไทยด้วยเช่นกัน อีกทั้งยังได้ตกลงกันในการที่จะเพิ่มความร่วมมือด้านการประมง ด้านความมั่นคง ทั้งนี้ก็เพื่อช่วยให้สามารถแก้ไขปัญหา IUU และปัญหาความมั่นคงได้อย่างยั่งยืนด้วย
นอกจากนั้น รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกิจการยุโรปและการต่างประเทศสาธารณรัฐฝรั่งเศส ก็ได้เข้าหารือกับรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี โดยสหภาพยุโรปและฝรั่งเศสได้แสดงความสนใจที่จะสานต่อการทำความตกลงการค้าเสรีกับไทยอีกครั้ง รวมถึงฝรั่งเศสสนใจเข้ามาลงทุนใน EEC ด้วย เชื่อมั่นว่าจะเป็นพื้นที่ที่มีศักยภาพในการเป็นศูนย์กลางการค้าและการลงทุนในภูมิภาคโดยเชื่อมโยงกับอาเซียน
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวอีกว่า ฝรั่งเศสยังสนใจในการเข้ามาลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน อาทิ โครงการสร้างเส้นทางรถไฟความเร็วสูง การพัฒนาท่าเรือน้ำลึก Smart City และศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยาน รวมทั้งโครงการก่อสร้างต่าง ๆ ของกรุงเทพฯ ซึ่งจะช่วยให้มีการถ่ายทอดเทคโนโลยีให้กับบุคลากรในประเทศอีกด้วย
นายกฯ กล่าวต่อว่า การเดินทางมาเยือนไทยของรัฐมนตรีต่างประเทศยุโรปถึง 3 ประเทศในเวลาที่ไล่เลี่ยกัน นอกจากจะสะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของความสัมพันธ์ระหว่างกันที่มีมายาวนานแล้ว ก็ยังมีนัยสำคัญต่อการดำเนินความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับสหภาพยุโรป หรือ EU หลังจากที่ EU ได้ปรับข้อมติเกี่ยวกับการดำเนินความสัมพันธ์กับไทยไปเมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2560 และสะท้อนให้เห็นว่าข้อมติดังกล่าวถูกนำไปปฏิบัติอย่างจริงจัง รวมถึงภาพลักษณ์ของประเทศไทยของเราในสายตาประชาคมโลก ก็ได้รับการยอมรับมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะประเทศประชาธิปไตยต่างๆ ที่สำคัญๆ ของโลก ได้เข้าใจ และเห็นความจริงใจของรัฐบาลในการแก้ไขปัญหา และเดินหน้าสู่การปฏิรูปประเทศอย่างจริงจังด้วย เพื่อผลประโยชน์ของประเทศไทย และมิตรประเทศอื่นๆ อีกด้วย
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวอีกว่า เป็นเรื่องที่น่ายินดี และเราควรได้ร่วมกันภาคภูมิใจ ที่องค์การความร่วมมือระหว่างประเทศทางด้านงบประมาณ ได้รายงานผลการสำรวจการเปิดเผยงบประมาณ หรือ ดัชนีการเปิดเผยงบประมาณ หรือ OBI ของรอบปี 2017 โดยประเทศไทยได้รับการประเมินสูงขึ้น มีคะแนนเพิ่ม 14 คะแนน ทำให้อันดับดีขึ้น 28 อันดับ จากปี 2015
คะแนน OBI ดัชนีการเปิดเผยงบประมาณของประเทศไทยที่เพิ่มขึ้นในครั้งนี้ ไม่เพียงแต่จะสะท้อนความโปร่งใสของกระบวนการงบประมาณของไทยในทางบวก อย่างมีนัยสำคัญเท่านั้น แต่จะมีความเชื่อมโยงกับดัชนีอื่นๆ จากการประเมินภายนอกประเทศ อาทิ การสำรวจตามดัชนีการรับรู้การทุจริต หรือ CPI ขององค์กร Transparency International รวมทั้งการจัดอันดับขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศต่างๆ ทั่วโลก ของสถาบัน IMD ที่หวังว่าจะช่วยให้การประเมินในรอบถัดไปเพิ่มสูงขึ้น จะเป็นการสร้างความเชื่อมั่น และส่งเสริมภาพลักษณ์ที่ดีของเราในสายตาชาวโลกด้วยเช่นกัน
นายกฯ กล่าวว่า สำหรับประเด็นภาพลักษณ์ของประเทศ และการจัดอันดับต่างๆ นั้น หลายท่านอาจจะมองว่าเป็นเรื่องภายนอก เป็นเรื่องของเปลือกนอกที่ไม่ได้จำเป็นมากนัก แต่ผมขอเรียนว่า สิ่งเหล่านี้เป็นประเด็นสำคัญในการที่จะสร้างความมั่นใจ ทั้งในด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ด้านการเมือง ด้านสังคม การค้า และการลงทุนในต่างแดน โดยเฉพาะการสนับสนุนในเรื่องการลงทุนด้วยเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่มีมูลค่ามหาศาลจากต่างประเทศ ย่อมต้องอาศัยความเชื่อมั่น และไว้วางใจในระดับที่สูงตามไปด้วย เราต้องยอมรับกันว่า ประเทศไทยยังมีโอกาสอีกมากที่เปิดกว้าง ที่สามารถรองรับการลงทุน รองรับผลประโยชน์ที่จะ ซึมซับและแตกแขนงไปสู่ทุกระดับเศรษฐกิจและสังคมของประเทศอย่างทั่วถึง ดังนั้นทุกภาคส่วน ทุกสาขาอาชีพจะต้องพัฒนาตนเอง ปรับตัวให้ก้าวทันเทคโนโลยีช่วยกันยกระดับ เพิ่มความสามารถ เพิ่มศักยภาพ เพื่อให้ประเทศไทยสามารถแข่งขันได้ดีขึ้นในภาพรวม เราต้องมีการรวมกลุ่มในกิจการทุกประเภท ถ้าเรายังคงประกอบอาชีพ ประกอบการเป็นอิสระ รายย่อยมากๆ ก็ไม่สามารถจะยกระดับตัวเองขึ้นมาได้หรอก
คำต่อคำ : ศาสตร์พระราชาสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน (16 กุมภาพันธ์ 2561)
สวัสดีครับ พ่อแม่พี่น้องชาวไทยที่รักทุกท่าน ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ประเทศไทยได้มีโอกาสต้อนรับอาคันตุกะจากหลายประเทศในยุโรป ได้แก่ อิตาลี สหราชอาณาจักร สเปน และฝรั่งเศส ซึ่งผมเองก็ได้มีโอกาสพบปะสร้างความเข้าใจ รวมทั้งแลกเปลี่ยนความคิดเห็น คุยกันเรื่องวิสัยทัศน์ และนโยบายกับ 3 ท่าน ท่านแรกคือรัฐมนตรีต่างประเทศอิตาลี ก็นับเป็นรัฐมนตรีต่างประเทศรายแรกของสหภาพยุโรปที่เดินทางเยือนไทยอย่างเป็นทางการ หลังจากที่สหภาพยุโรปได้มีมติกลับมาติดต่อทางการเมืองของไทยในทุกระดับ โดยได้มีการส่งสัญญาณทางการเมืองที่ต้องการรื้อฟื้นและกระชับความสัมพันธ์ในระดับรัฐบาลกับไทยให้ใกล้ชิดยิ่งขึ้น และยังถือเป็นการเฉลิมฉลอง 150 ปี ของการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการของทูตทั้ง 2 ประเทศด้วย
ทั้งนี้ ได้มีการกล่าวชื่นชมการดำเนินการตามแผนของรัฐบาล และแจ้งว่าจะช่วยถ่ายทอดเรื่องนี้ให้กับสหภาพยุโรป รับทราบอีกทางหนึ่ง ถึงการพัฒนาการของประเทศเรา นอกจากนี้ ยังแสดงความพร้อมที่จะช่วยให้ข้อมูลเชิงบวกของไทยในเวทีสหภาพยุโรป ในประเด็นสำคัญ อาทิ การแก้ไขปัญหา IUU รวมถึงชื่นชมนโยบายเกี่ยวกับ EEC ก็กล่าวว่าเป็นยุทธศาสตร์ระยะยาวที่ชัดเจนของไทย โดยพร้อมที่จะสนับสนุนให้รัฐบาลและเอกชนของอิตาลีศึกษาโอกาสการลงทุนใน EEC ด้วย
อีกประเทศที่ได้มีโอกาสพบปะหารือ ก็คือสหราชอาณาจักร โดยได้พบกับรัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศ นายบอริส จอห์นสัน ที่มีบทบาทสำคัญในการสนับสนุน BREXIT ในการมาเยือนไทยครั้งนี้ ถือเป็นการย้ำถึงความสำคัญของความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับสหราชอาณาจักร ที่มีมายาวนานกว่า 400 ปี แสดงให้เห็นถึงเจตนารมณ์ที่จะส่งเสริมและกระชับความร่วมมือในด้านต่างๆ ที่เป็นผลประโยชน์ร่วมกัน ทั้งสองฝ่ายจะส่งเสริมการค้าการลงทุนระหว่างกัน ผมได้เชิญชวนให้นักลงทุนชาวอังกฤษ ได้พิจารณามาลงทุนใน EEC และก็หวังว่า สหราชอาณาจักรจะเห็นพ้องในการให้ไทยเป็นศูนย์กลางด้านการค้า-การลงทุน เพื่อผ่านไปยังประเทศ CLMV และประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนด้วย ซึ่งทางสหราชอาณาจักรเองก็มีนโยบาย Global Britain ที่เน้นการค้าเสรี เปิดโอกาสให้สหราชอาณาจักร มีการค้ากับประเทศต่างๆ ทั้งภายในและภายนอกยุโรปมากยิ่งขึ้น ก็นับว่าเป็นโอกาสดีที่ไทยและสหราชอาณาจักรจะขยายความสัมพันธ์ทางการค้า-การลงทุน ระหว่างกันต่อไป
นอกจากนี้ รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศสหราชอาณาจักร ยังชื่นชมไทยที่ได้รับการปรับสถานะเป็นประเทศที่น่าลงทุนดีขึ้นแบบก้าวกระโดด มาอยู่อันดับที่ 26 ทั้งยังเชื่อมั่นในพัฒนาการทางประชาธิปไตยของไทย และสนับสนุน กระบวนการไปสู่การเป็นประชาธิปไตยที่ยั่งยืนของไทยตามโรดแมปด้วย
และผมก็ได้มีโอกาสพบปะหารือกับเอกอัครราชทูตราชอาณาจักรสเปนประจำประเทศไทย ในโอกาสที่ได้เข้ามารับตำแหน่ง ตัวท่านเองมีความตั้งใจที่จะช่วยพัฒนาความร่วมมือระหว่างไทยและสเปนให้ใกล้ชิดยิ่งขึ้นทุกมิติ ทั้งการเมือง เศรษฐกิจ ความมั่นคง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการท่องเที่ยวและความสัมพันธ์ระดับประชาชนต่อประชาชน และก็ได้หารือในเรื่องการเพิ่มการลงทุนของ EEC ในอุตสาหกรรมที่ สเปนมีความเชี่ยวชาญ โดยเฉพาะด้านวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี นวัตกรรม โครงสร้างพื้นฐาน และพลังงาน ซึ่งภาคเอกชนสเปน มีความพร้อมและสนใจที่จะร่วมสนับสนุนการพัฒนาโครงการ EEC ของไทยด้วยเช่นกัน อีกทั้งยังได้ตกลงกันในการที่จะเพิ่มความร่วมมือด้านการประมง ด้านความมั่นคง ทั้งนี้ก็เพื่อช่วยให้สามารถแก้ไขปัญหา IUU และปัญหาความมั่นคงได้อย่างยั่งยืนด้วย
นอกจากนั้น รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกิจการยุโรปและการต่างประเทศสาธารณรัฐฝรั่งเศส ก็ได้เข้าหารือกับรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี โดยสหภาพยุโรปและฝรั่งเศสได้แสดงความสนใจที่จะสานต่อการทำความตกลงการค้าเสรีกับไทยอีกครั้ง รวมถึงฝรั่งเศสสนใจเข้ามาลงทุนใน EEC ด้วย เชื่อมั่นว่าจะเป็นพื้นที่ที่มีศักยภาพในการเป็นศูนย์กลางการค้าและการลงทุนในภูมิภาคโดยเชื่อมโยงกับอาเซียน
นอกจากนี้ ฝรั่งเศสยังสนใจในการเข้ามาลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน อาทิ โครงการสร้างเส้นทางรถไฟความเร็วสูง การพัฒนาท่าเรือน้ำลึก Smart City และศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยาน รวมทั้งโครงการก่อสร้างต่าง ๆ ของกรุงเทพฯ ซึ่งจะช่วยให้มีการถ่ายทอดเทคโนโลยีให้กับบุคลากรในประเทศอีกด้วย การเดินทางมาเยือนไทยของรัฐมนตรีต่างประเทศยุโรปถึง 3 ประเทศในเวลาที่ไล่เลี่ยกัน นอกจากจะสะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของความสัมพันธ์ระหว่างกันที่มีมายาวนานแล้ว ก็ยังมีนัยสำคัญต่อการดำเนินความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับสหภาพยุโรป หรือ EU หลังจากที่ EU ได้ปรับข้อมติเกี่ยวกับการดำเนินความสัมพันธ์กับไทยไปเมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2560 และสะท้อนให้เห็นว่าข้อมติดังกล่าวถูกนำไปปฏิบัติอย่างจริงจัง รวมถึงภาพลักษณ์ของประเทศไทยของเราในสายตาประชาคมโลก ก็ได้รับการยอมรับมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะประเทศประชาธิปไตยต่างๆ ที่สำคัญๆ ของโลก ได้เข้าใจ และเห็นความจริงใจของรัฐบาลในการแก้ไขปัญหา และเดินหน้าสู่การปฏิรูปประเทศอย่างจริงจังด้วย เพื่อผลประโยชน์ของประเทศไทย และมิตรประเทศอื่นๆ อีกด้วย
พี่น้องประชาชนที่รักทุกท่านอีกเรื่องที่เป็นเรื่องที่น่ายินดี และเราควรได้ร่วมกันภาคภูมิใจ ที่องค์การความร่วมมือระหว่างประเทศทางด้านงบประมาณ ได้รายงานผลการสำรวจการเปิดเผยงบประมาณ หรือ ดัชนีการเปิดเผยงบประมาณ หรือ OBI ของรอบปี 2017 โดยประเทศไทยได้รับการประเมินสูงขึ้น มีคะแนนเพิ่ม 14 คะแนน ทำให้อันดับดีขึ้น 28 อันดับ จากปี 2015 ซึ่งการสำรวจการเปิดเผยงบประมาณมีดังนี้ เขาให้ความสำคัญกับ 3 มิติหลัก ได้แก่
1.ความโปร่งใสทางงบประมาณ ซึ่งสะท้อนการเปิดเผยข้อมูลงบประมาณให้สาธารณชนรับทราบ ในกรอบระยะเวลาอันสมควร และให้สาธารณชนเข้าถึงข้อมูลได้โดยง่าย ให้สาธารณชนรับทราบในกรอบระยะเวลาสมควร เพื่อให้สาธารณชนเข้าถึงข้อมูลได้โดยง่าย
สำหรับไทยในรอบปีที่ผ่านมา สำนักงบประมาณได้พัฒนาและจัดทำเอกสารที่แสดงข้อมูลทั้งด้านการคลัง และงบประมาณให้มีความครบถ้วนและสมบูรณ์ยิ่งขึ้น รวมทั้งมีการเผยแพร่ข้อมูลต่างๆ ผ่านทางอินเทอร์เน็ต และทำให้การเข้าถึงของสาธารณชนเข้าใจโดยง่าย ตัวอย่างข้อมูลที่สำนักงบประมาณจัดทำขึ้น และเผยแพร่ในเว็บไซต์ของสำนักงบประมาณ เพื่อให้ประชาชนสามารถเห็นภาพ และเข้าใจโดยง่าย ได้แก่ ข้อมูลประชาชนจะได้อะไรจากงบประมาณรายจ่าย และข้อมูลงบประมาณลงพื้นที่จังหวัด โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้อมูลงบประมาณขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่ระบุรายละเอียดรายการงบประมาณในแต่ละแห่งไว้ในเอกสารประกอบ พ.ร.บ.งบประมาณ และได้มีการเผยแพร่ในเว็บไซต์ด้วย
นอกจากนี้ กระทรวงดิจิทัลยังได้จัดให้มีการรายงานเรื่องบัญชีไปไหนในเว็บไซต์ของกระทรวง เพื่อแสดงให้เห็นถึงผลสัมฤทธิ์ในการใช้จ่ายงบประมาณตามข้อมูลของสำนักงบประมาณ และกรมบัญชีกลางอีกด้วย เพื่อเป็นการให้ความสำคัญในการเปิดกว้าง และส่งเสริมเสรีภาพในการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารภาครัฐตาม พ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสารของทางราชการ
เพื่อการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่เข้ามายกระดับในการให้บริการภาครัฐในเรื่องนี้
2.ในการมีส่วนร่วมของภาคประชาชนในกระบวนการงบประมาณ สำหรับไทยตั้งแต่ปี 2017 การจัดทำงบประมาณรายขจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2561 ตามมาตรา 77 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2560 ระบุให้รับฟังความคิดเห็นจากผู้ที่เกี่ยวข้องมาประกอบการพิจารณาทุกขั้นตอน ซึ่งสำนักงบประมาณได้มีการดำเนินการในขั้นตอนการรับฟังความคิดเห็นจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และภาคประชาชนผ่านทางเว็บไซต์ คนไทยจะบอกไม่ทราบไม่ได้ ถ้าอยากรู้อยากทราบเปิดเข้าไปดู หรือรับฟังคำชี้แจง
นอกจากนี้ ตาม ร่าง พ.ร.บ.วิธีการงบประมาณฉบับใหม่ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจะเป็นทั้งหน่วยรับงบประมาณ และสามารถขอตั้งงบประมาณได้ในอนาคต ทำให้งบประมาณที่จะจัดสรรลงไปในพื้นที่นั้น เกิดจากการมีส่วนร่วมของภาคประชาชน ในกระบวนการงบประมาณ และตอบสนองต่อความต้องการประชาชนในพื้นที่มากยิ่งขึ้น
และ 3.การมีสถาบันติดตามตรวจสอบที่เข้มแข็งจากทั้งฝ่ายนิติบัญญัติและองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ ซึ่งตาม พ.ร.บ.วิธีการงบประมาณฉบับใหม่ของไทย ได้กำหนดให้สำนักงบประมาณประเมินผลการใช้จ่ายงบประมาณของทุกหน่วยงาน และให้รัฐสภามีขั้นตอนการตรวจสอบการออก พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายต่าง ๆ โดยไม่มีส่วนได้ส่วนเสียต่อการใช้จ่ายงบประมาณ รวมทั้งให้สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน ที่เป็นองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญคอยติดตามตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณอีกด้วย
ดังนั้นคะแนน OBI ดัชนีการเปิดเผยงบประมาณของประเทศไทยที่เพิ่มขึ้นในครั้งนี้ จึงไม่เพียงแต่จะสะท้อนความโปร่งใสของกระบวนการงบประมาณของไทยในทางบวก อย่างมีนัยสำคัญเท่านั้น แต่จะมีความเชื่อมโยงกับดัชนีอื่นๆ จากการประเมินภายนอกประเทศ อาทิ การสำรวจตามดัชนีการรับรู้การทุจริต หรือ CPI ขององค์กร Transparency International รวมทั้งการจัดอันดับขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศต่างๆ ทั่วโลก ของสถาบัน IMD ที่หวังว่าจะช่วยให้การประเมินในรอบถัดไปเพิ่มสูงขึ้น จะเป็นการสร้างความเชื่อมั่น และส่งเสริมภาพลักษณ์ที่ดีของเราในสายตาชาวโลกด้วยเช่นกัน
ทั้งนี้ เราจะต้องดำเนินการต่อไปอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้สิ่งดีๆ เหล่านั้นยังคงอยู่คู่สังคมไทยในระยะยาว หรือต้องทำให้ดีขึ้นกว่าเดิม ให้เป็นส่วนหนึ่งของหลักคิดไทยนิยม ที่นอกจากจะ คิดในสิ่งที่ถูกต้องแล้ว ยังต้องคิดอย่างมีเหตุมีผลอีกด้วย
ทั้งนี้ เพื่อสนับสนุนกิจกรรมต่างๆ ของคนไทย สังคมไทยให้เป็นไปตามครรลองของไทย โดยไม่ทิ้งหลักการสากล ที่ต่างมุ่งไปสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืนด้วยกันทั้งสิ้น
สำหรับประเด็นภาพลักษณ์ของประเทศ และการจัดอันดับต่างๆ นั้น หลายท่านอาจจะมองว่าเป็นเรื่องภายนอก เป็นเรื่องของเปลือกนอกที่ไม่ได้จำเป็นมากนัก แต่ผมขอเรียนว่า สิ่งเหล่านี้เป็นประเด็นสำคัญในการที่จะสร้างความมั่นใจ ทั้งในด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ด้านการเมือง ด้านสังคม การค้า และการลงทุนในต่างแดน โดยเฉพาะการสนับสนุนในเรื่องการลงทุนด้วยเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่มีมูลค่ามหาศาลจากต่างประเทศ ย่อมต้องอาศัยความเชื่อมั่น และไว้วางใจในระดับที่สูงตามไปด้วย เราต้องยอมรับกันว่า ประเทศไทยยังมีโอกาสอีกมากที่เปิดกว้าง ที่สามารถรองรับการลงทุน รองรับผลประโยชน์ที่จะ ซึมซับ และแตกแขนงไปสู่ทุกระดับเศรษฐกิจและสังคมของประเทศอย่างทั่วถึง ดังนั้นทุกภาคส่วน ทุกสาขาอาชีพจะต้องพัฒนาตนเอง ปรับตัวให้ก้าวทันเทคโนโลยีช่วยกันยกระดับ เพิ่มความสามารถ เพิ่มศักยภาพ เพื่อให้ประเทศไทยสามารถแข่งขันได้ดีขึ้นในภาพรวม เราต้องมีการรวมกลุ่มในกิจการทุกประเภท ถ้าเรายังคงประกอบอาชีพ ประกอบการเป็นอิสระ รายย่อยมากๆ ก็ไม่สามารถจะยกระดับตัวเองขึ้นมาได้หรอก
ทั้งนี้ เราจะเห็นได้ชัดว่า ประเทศต่างๆ เห็นความสำคัญของ EEC หรืออย่างน้อยสนใจที่จะมาศึกษาความเป็นไปได้ที่จะมาเข้ามามีส่วนร่วมในโครงการเหล่านี้ของเรา นี่คือเหตุผลสำคัญที่รัฐบาลนี้ให้ความสำคัญอย่างมาก ในการขับเคลื่อน EEC ในทุกมิติในช่วงที่ผ่านมา เนื่องจากจะเป็นคลื่นการปฏิรูปเศรษฐกิจระลอกแรกของไทย และระลอกต่อๆ ไปในอนาคต ผมมองว่า สิ่งที่เราจะต้องเร่งพัฒนา และให้ความสำคัญในอันดับต้นๆ ได้แก่ อุตสาหกรรมอาหารและผลไม้ไทย รวมทั้งการแพทย์และการท่องเที่ยว ที่เรามีศักยภาพ โดยอาหารนั้นถือว่าเป็นหนึ่งในปัจจัย 4 ที่เราต้องพึ่งพาตนเองให้ได้ และสามารถต่อยอดสร้างมูลค่า เพื่อส่งออกไปยังประเทศอื่นๆ มีผู้ได้รับผลประโยชน์ส่วนนี้มากมาย จำนวนพี่น้องเกษตรกร หรือบรรดาผู้มีรายได้น้อย จะอยู่ในวงจรดังกล่าวจำนวนมาก
ส่วนเทคโนโลยีดิจิทัล Internet of Things หุ่นยนต์ ปัญญาประดิษฐ์ AI ที่เป็นทิศทางการพัฒนาของโลก ก็จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของผู้ประกอบการและช่วยให้ประชาชนมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น สำคัญที่สุดคือการพัฒนาคน
คนไทยทุกคนไม่จำเป็นต้องเป็นคนไทย 4.0 เพราะมันเป็นไปไม่ได้ ตามที่เคยพูดไว้นานแล้ว เราเป็น 4.0 คือเรียนรู้ เข้าใจ และอยู่กับสังคม อยู่กับสิ่งแวดล้อมในปัจจุบันให้ได้ นั่นคือ 4.0 แล้ว เพราะคนในสังคมก็เหมือนกับต้นไม้ในป่าที่ต้องมีหลากหลายนานาพันธุ์ ต่างคนต่างต้นต่างประเภท ก็พึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน เราต้องสนับสนุนคนรุ่นเก่า ยุคอนาล็อก ที่ถือว่าเป็นคลื่นลูกเก่า ให้ปรับเปลี่ยน ปรับตัวรองรับการเปลี่ยนแปลง
ขณะเดียวกัน ก็ต้องส่งเสริมบทบาทคนรุ่นใหม่ ยุคดิจิทัลที่เป็นคลื่นลูกใหม่ ที่มากไปด้วยศักยภาพ มีหลักคิดที่ถูกต้อง เป็นพื้นฐานให้ได้รับโอกาส ได้รับการพัฒนาอย่างเต็มที่ เหมือนหลายโครงการที่รัฐบาลมุ่งส่งเสริม อาทิ โครงการเน็ตประชารัฐ นอกจากจะช่วยลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา การได้รับบริการภาครัฐ และในอีกหลายๆด้านแล้ว ก็ยังจะเป็นการสร้างโอกาส สร้างงานในทุกระดับ ทุกสาขาอาชีพ ขอเพียงให้มีหลักคิด หลักการเรียนรู้ หลักการพัฒนาตนเองเป็นอย่างไร ผมอยากให้เป็นหลักคิดของไทยนิยม ที่นำพาประเทศชาติไปสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืนด้วย
ผมมี 2 ตัวอย่างเพื่อจะเป็นข้อคิดและแบบอย่างของการพัฒนาตนเอง ภายหลังจากการลงพื้นที่ภาคตะวันออก จ.ตราด จ.จันทบุรี ที่ผ่านมา กระทรวงพาณิชย์ก็ได้ร่วมกับสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย จัดทำยุทธศาสตร์การค้าผลไม้ครบวงจร เพื่อเป็นแนวทางให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ร่วมกันขับเคลื่อน เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อเกษตรกรและการค้าผลไม้ของไทย โดยมีวิสัยทัศน์ในภาพรวมของประเทศตามที่มีรายงานข่าวไปแล้วเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา
ผมเองก็ติดตามข่าวสาร เลือกบริโภคสื่อ ข้อมูลข่าวสารที่เป็นประโยชน์ จากทั้งอินเตอร์เน็ต และโซเชียลมีเดีย ก็ได้พบตัวอย่างผู้ประกอบการรุ่นใหม่ที่ประสบความสำเร็จในเรื่องของการแปรรูปผลไม้ไทยจากรายการสร้างสรรค์สังคม ชื่อ อายุน้อยร้อยล้าน และก็มีอีกหลายรายการที่ดี แต่ยังไม่มีโอกาสนำมาเล่าให้ฟัง
ตัวอย่างแรก เป็นการอบแห้ง ผลไม้ไทย โดยยังสามารถรักษาคุณภาพทางโภชนาการ เป็นของขบเคี้ยว ที่มีประโยชน์มากกว่าขนมกรุบกรอบ ที่อาจไม่เป็นผลดีต่อสุขภาพเยาวชนของเราในระยะยาว ส่งขายหลายประเทศ ทั้งในอาเซียน ญี่ปุ่น จีน อเมริกา
ตัวอย่างที่ 2 เป็นการทำสบู่ จากผลไม้ไทย ซึ่งเป็นที่ชื่นชอบของลูกค้า กว่า 20 ประเทศ ทั่วโลก สิ่งที่ผมสังเกตเห็น มีหลายประการที่คล้ายๆ กัน คือ
1. การเริ่มทำธุรกิจจากสิ่งที่ตนเองชอบ สิ่งใกล้ตัว ช่วยให้มีแรงผลักดัน
2. การศึกษาค้นคว้า หาความรู้เพิ่มเติม ทั้งในเรื่องการผลิต การแปรรูป การตลาด จากนักวิชาการ จากสื่อออนไลน์ รวมถึงการลงพื้นที่ เพื่อรับทราบข้อมูล ข้อเท็จจริง มาปรับปรุง มาพัฒนากระบวนการผลิต ตัวผลิตภัณฑ์ ให้ตอบรับตลาด เพราะลูกค้าในประเทศเป้าหมายมีความชื่นชอบผลไม้ไทยแตกต่างกันไป
3.การเพิ่มทักษะด้านภาษา เพื่อการติดต่อสื่อสารและการเปิดตลาด โดยเฉพาะภาษาอังกฤษที่เป็นภาษาสากล ภาษาจีนก็เป็นโอกาสทางตลาดขนาดใหญ่ และภาษาประเทศเพื่อนบ้าน ที่มีความเชื่อมั่นในสินค้าไทยเป็นทุนเดิม มีโอกาสการเติบโตทางธุรกิจอีกมาก
4.ความกล้าหาญ ความอดทน อุตสาหะ ซึ่งทั้ง 2 ผู้ประกอบการตัวอย่างนี้ ไม่ได้ประสบความสำเร็จตั้งแต่แรกแต่ผ่านอุปสรรค เกือบล้มเหลว แต่ไม่ยอมแพ้ จนประสบความสำเร็จได้ในวันนี้ ขอชื่นชม
สำหรับหน้าที่ของรัฐบาล คือ การเตรียมการให้ทุกคน ได้รับโอกาสในการสร้างงาน ประกอบอาชีพ อย่างเท่าเทียมกัน อาทิ การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานการคมนาคม เพื่อเชื่อมโยงแหล่งผลิตกับตลาด ทั้งภายใน และภายนอกประเทศ โครงการเน็ตประชารัฐ เพื่อให้ทุกคนค้นคว้าหาความรู้ โฆษณาสินค้า ติดต่อตลาดอีคอมเมิร์ซ และสถาบันการเงินประชาชน เพื่อเป็นแหล่งเงินทุนให้พี่น้องประชาชน ในแต่ละท้องถิ่นของตน ตามที่ผมได้กล่าวไปแล้ว ในสัปดาห์ที่ผ่านมา
ผมหวังว่า ที่กล่าวมานั้น จะเป็นแรงบันดาลใจ หรือแนวทางในการประกอบอาชีพของหลายต่อหลายคน ที่ไม่ย่อท้อ ตามความฝัน ให้เป็นเจ้าของธุรกิจของตนเองด้วย จะเห็นได้ว่ามันไม่ง่ายนัก แต่ขณะเดียวกัน มันก็ไม่ยากนักถ้าเรามีความเพียรพยายาม ขอให้ทุกคนได้เดินหน้าไปสู่สิ่งนั้น สิ่งที่เราต้องการ ให้ได้โดยเร็ว
พี่น้องประชาชนที่รักครับ ความเท่าเทียม ไม่เหลื่อมล้ำในสังคม เป็นการรักษาสมดุลระหว่างคนด้วยกันเอง ให้ได้รับการพัฒนา หรือได้รับสวัสดิการแห่งรัฐต่างๆ โดยไม่ตกหล่น
อาทิ คนพิการทั่วประเทศที่เคยลงทะเบียนกับกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ หรือทำบัตรคนพิการ เพื่อรับสิทธิในการสงเคราะห์ การพัฒนาและการฟื้นฟูสมรรถภาพคนพิการตาม พ.ร.บ.ส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พ.ศ. 2550 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ฉบับที่ 2 พ.ศ. 2556 มีมากถึง 1.8 ล้านคนทั่วประเทศ
เมื่อตรวจสอบในฐานข้อมูล ทั้งจากกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และกระทรวงการคลัง แล้วพบว่า
1. การลงทะเบียนสวัสดิการแห่งรัฐครั้งที่ผ่านมา ซึ่งมียอดการลงทะเบียนกว่า 14 ล้านคน เหลือผู้ที่ผ่านการตรวจสอบคุณสมบัติ ผู้ที่มีรายได้น้อย จำนวน 11 ล้านคน
เป็นคนพิการราว 7 แสนกว่าคน แล้วอีก 1 ล้านกว่าคน ในบัญชีของกระทรวงการพัฒนาสังคมฯ ที่ไม่ได้มาลงทะเบียนสวัสดิการแห่งรัฐ ก็ต้องไปดูว่าทำไม เป็นผู้ที่มีรายได้น้อยหรือไม่ หรือไม่ได้รับทราบ หรือเป็นอย่างไร ต้องดูแลเขา
2. คนพิการจำนวน 7 แสนกว่าคน ในบัญชีของกระทรวงการคลังนั้น ประมาณ 25,000 คน ไม่เคยทำบัตรคนพิการ จึงไม่อยู่ในฐานข้อมูลของกระทรวงการพัฒนาสังคมฯ ก็จะยังไม่ได้รับสิทธิ์คนพิการที่ควรจะได้รับ แม้จะไม่ใช่ผู้มีรายได้น้อยก็ตาม
นี่ล่ะ มันเป็นปัญหาสำคัญของประเทศไทย ข้อมูลต่างๆ จึงต้องมีความทันสมัย และข้อสำคัญคือ ผู้รับประโยชน์จะต้องสนใจ ถ้าไม่สนใจมันก็เชื่อมต่อกันไม่ได้ ต่อให้รัฐบาลเทอะไรลงไปก็ทำไม่ได้ทั้งหมด เพราะไม่รับรู้ รับทราบ การโทษรัฐบาลแต่เพียงฝ่ายเดียวมันก็คงไม่ได้ ก็ต้องช่วยกัน
เพราะฉะนั้นแนวทางการช่วยเหลือคนพิการทั้งสองกลุ่มดังกล่าว เพื่อไม่ให้ตกหล่นจากสวัสดิการแห่งรัฐ คือตามที่เรากล่าวไว้ว่าเราจะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ซึ่งกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ มอบหมายให้ศูนย์บริการคนพิการจังหวัด ร่วมกับองค์กรคนพิการ ดำเนินการดังนี้
กลุ่มที่ 1 คนพิการที่ลงทะเบียนสวัสดิการแห่งรัฐแล้ว แต่ไม่มีบัตรคนพิการ ราว 25,000 คน ก็จะแนะนำให้ทำบัตรคนพิการ เพื่อสามารถเข้าถึงสิทธิประโยชน์ต่างๆ ของรัฐ
กลุ่มที่ 2 คนพิการที่มีบัตรคนพิการแล้ว ยังไม่ได้ลงทะเบียนสวัสดิการแห่งรัฐ จะให้คำแนะนำเตรียมการเข้าถึงสิทธิการลงทะเบียนสวัสดิการแห่งรัฐในรอบต่อไป และการช่วยเหลือเบื้องต้น ด้านค่าครองชีพ ด้านเครื่องอุปโภคบริโภค ตามความจำเป็น โดยสอดคล้องกับนโยบายสวัสดิการแห่งรัฐ
ทั้งนี้ จากการดำเนินการตามนโยบายไทยนิยม ยั่งยืน นั้น ก็จะต้องนำข้อมูลจากทุกกระทรวงมาบูรณาการกัน เป็น Big Data ในศูนย์รวมที่เรียกว่า Data Center ของทุกกระทรวง ทุกหน่วยงาน ระดับกระทรวงก็ต้องไปรวบรวมในส่วนของกรมต่างๆ มาด้วย เพื่อจะใช้ข้อมูลเหล่านั้นมาวิเคราะห์ จัดทำเป็นฐานข้อมูลในลักษณะ Big Data เพื่อจะกำหนดนโยบายสาธารณะที่เหมาะสม ก็จะเป็นการนำเทคโนโลยีสมัยใหม่มาใช้ในการบริหารราชการแผ่นดิน ตามแนวทางประเทศไทย 4.0 เพื่อจะเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้งบประมาณอย่างมีธรรมาภิบาลด้วย
สุดท้ายนี้ ในช่วงเทศกาลตรุษจีน และเทศกาลวันวาเลนไทน์ ทำให้ผมเห็นว่าประเทศไทยนั้นเป็นสังคมพหุวัฒนธรรม ที่อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขมาช้านาน เป็นอีกไทยนิยมที่รักความสงบ การท่องเที่ยว ก็เป็นอีกวิถีชีวิตของคนไทย คนไทยเราโชคดีที่เรารวยทรัพยากรธรรมชาติ ยิ่งไปกว่านั้น ยังเป็นอุตสาหกรรมที่เป็นอนาคตของประเทศ ก็ต้องช่วยกันรักษาสภาพแวดล้อมให้บริสุทธิ์ ปลอดภัย แหล่งท่องเที่ยวชุมชนให้สะอาด และยิ้มต้อนรับนักท่องเที่ยวต่างถิ่น ต่างชาติ ให้ประทับใจ
เมื่อวันก่อนได้มีโอกาสไปเยือนงานอุ่นไอรักฯ ก็มีความสุข มีความภาคภูมิใจในความเป็นไทย ชื่นชมในความมีเอกลักษณ์ของไทย เราเป็นคนในยุคปัจจุบัน เราอย่าลืมเลือนประวัติศาสตร์ สถาบันมีพระมหากรุณาธิคุณกับประเทศไทยเสมอมา ก็ถือว่าเป็นสิ่งหนึ่งที่เราต้องระลึกถึงอยู่เสมอ ผมเห็นรอยยิ้มของทุกคน ผมรู้สึกมีความสุข ผมคิดว่าทุกคนที่ไปเที่ยงาน หรือทุกคนที่ได้เห็นในข่าว ก็คงจะมีความรู้สึกเป็นสุขไปด้วย สังคมไทยเป็นสังคมที่อบอุ่น สังคมที่มีรอยยิ้ม สังคมที่เป็นพหุวัฒนธรรม สังคมที่ปรองดอง เพราะฉะนั้นอย่าให้ใครมาทำให้เกิดความแตกแยกตรงนี้โดยเด็ดขาด
ก็ขอเชิญชวนทุกท่านไปเที่ยวงานอุ่นไอรักฯ ได้ จนกระทั่งถึงเดือนมีนาคม
วันนี้ผมขอประชาสัมพันธ์เว็บไซต์และแอปพลิเคชันมือถือที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาได้เปิดตัวไปแล้ว ในชื่อ ThailandTourismDirectory โดยมุ่งที่จะสนับสนุนการท่องเที่ยวในประเทศไทย สำหรับทั้งนักท่องเที่ยวชาวไทยและชาวต่างชาติด้วย เพราะเว็บไซต์และแอปพลิเคชันนี้จะเป็นแหล่งรวบรวมข้อมูลดิจิทัลด้านการท่องเที่ยวที่มีคุณภาพ ครบถ้วน ถูกต้อง มีการอัปเดตข้อมูลต่างๆ อย่างสม่ำเสมอ ซึ่งก็จะถือเป็น Big Data ในการท่องเที่ยวที่ภาครัฐเป็นแกนกลางในการจัดทำขึ้น ขณะนี้สามารถรองรับได้ 3 ภาษา คือ ไทย จีน อังกฤษ
พี่น้องประชาชนและนักท่องเที่ยวสามารถนำข้อมูลเหล่านี้ไปใช้ประโยชน์ในการวางแผนเดินทางท่องเที่ยว ทั้งข้อมูลแหล่งท่องเที่ยว กิจกรรม ณ สถานที่ท่องเที่ยว เส้นทางการเข้าถึงแหล่งท่องเที่ยว ตลอดจนถึงรายละเอียดของโรงแรม ที่พัก ที่มีมาตรฐาน ได้รับการอนุญาตอย่างถูกต้อง ข้อมูลต่างๆ เหล่านี้ได้รับการเพิ่มเติม หรืออัปเดตเข้ามาอย่างต่อเนื่อง จากเจ้าของข้อมูลโดยตรง ในพื้นที่ชุมชนท้องถิ่น ทั้ง 77 จังหวัดทั่วประเทศไทย โดยผ่านกลไกการตรวจสอบความถูกต้องจากศูนย์ปฏิบัติการ Digital Tourism Center ทั้งส่วนกลางและส่วนจังหวัด ก่อนนำออกเผยแพร่ ผมอยากเชิญชวนให้พี่น้องประชาชนลองเข้าไปเยี่ยมชมเว็บไซต์ดังกล่าว หรือดาวน์โหลดแอปพลิเคชันมาใช้ประโยชน์ให้ได้อย่างเต็มที่ และฝากเผยแพร่ให้กับพี่น้อง เพื่อนฝูงของท่าน โดยเฉพาะเพื่อนๆ ชาวต่างชาติ เพื่อสนับสนุนภาคการท่องเที่ยวของประเทศเราอีกด้วย
ปัจจุบันรัฐบาลมีมาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยวเมืองรอง 55 จังหวัดทั่วประเทศ โดยสามารถนำค่าใช้จ่ายไปลดหย่อนภาษีได้ตามจริง สูงสุดไม่เกิน 15,000 บาท ตลอดปี 2561 นี้
ขอบคุณนะครับ ขอบคุณจิตอาสาต่างๆ ที่ช่วยกันดูแลบ้านเมือง ดูแลในงานอุ่นไอรักฯ หรือทำคุณประโยชน์อันเป็นสาธารณประโยชน์ให้กับประชาชนในทุกพื้นที่ด้วย อันนี้เป็นพระราโชบายของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ต้องการให้ทุกคนมีส่วนร่วมในการพัฒนาประเทศไทย ชาติไทยอันเป็นที่รักยิ่งของเรา และคงจะต้องร่วมมือกับการทำงานของโครงการไทยนิยมฯ ด้วย เพื่อให้ตรงความต้องการของประชาชน ตรงความต้องการของพื้นที่ ศักยภาพที่มีอยู่
ขอให้ทุกคน ทุกครอบครัว มีความสุข ในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ และในช่วงเดือนแห่งความรัก และในห้วงเวลาตรุษจีนด้วย ขอให้ทุกคนมีความสุขในวันขึ้นปีใหม่ของจีน ซึ่งเราเป็นประเทศที่มีหลายเชื้อชาติ หลายศาสนา มาอยู่ร่วมกันในประเทศนี้ ก็ต้องรักกัน สวัสดีนะครับ