เมืองไทย 360 องศา
กลายเป็นกระแสพุ่งปรี๊ดขึ้นมาอย่างรวดเร็วตั้งแต่รับรู้ข่าวการจับกุม “เปรมชัย กรรณสูต” กรรมการผู้จัดการใหญ่ และผู้ถือหุ้นใหญ่ บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) กับคณะในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวร พร้อมอาวุธปืนหลายชนิดที่เป็นอุปกรณ์ในการล่าสัตว์
จากการตรวจสอบของเจ้าหน้าที่ยังพบของกลางที่เป็นซากสัตว์ป่าหลายชนิด ทั้งที่ชำแหละ ถลกหนังเรียบร้อยแล้ว และมีทั้งที่เพิ่งล่ามาใหม่ๆ เป็นภาพที่ชวนสลดหดหู่กับผู้ที่พบเห็นภาพข่าวดังกล่าว และกลายเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันอย่างกว้างขวางในสังคม เรียกว่าฮือฮาได้รับความสนใจสอบถามันทั้งวันจนลืมเรื่อง “นาฬิกาเสี่ยป้อม” ไปชั่วคราวเลยทีเดียว
แน่นอนว่า เรื่องแบบนี้ย่อมเป็นเรื่อง “อ่อนไหว” สำหรับสังคม นอกเหนือจากเรื่อง การทุจริตคอร์รัปชัน การใช้หน้าที่มิชอบ ก็มีเรื่อง “รุกป่าทำลายธรรมชาติ” นี่แหละ กรณีที่เกิดขึ้นถือว่าไม่คุ้มค่ากับ เปรมชัย กรรณสูต ที่เป็นถึงนักธุรกิจใหญ่ที่มีทรัพย์สินมูลค่านับหมื่นล้านบาท และที่สำคัญ เชื่อว่า ยังส่งผลกระทบอย่างรุนแรงไปถึงบริษัท อิตาเลียนไทยฯ ซึ่งเป็นบริษัทก่อสร้างบริษัทอสังหาริมทรัพย์ยักษ์ใหญ่เป็นคู่สัญญากับรัฐหลายโครงการ ย่อมได้รับผลกระทบแน่ อย่างน้อยก็ในด้านภาพลักษณ์ที่ถือว่า “ย่อยยับป่นปี้” ลงไปทันที
ต้องไม่ลืมว่าในสังคมยุคใหม่กระแสต่อต้านเรื่องการทำลายธรรมชาติ ทำลายสัตว์ป่า เป็นเรื่องใหญ่ที่สังคมตื่นตัวและมีความรังเกียจ ไม่แพ้เรื่องทุจริตและการใช้อำนาจหน้าที่มิชอบดังกล่าว ไม่เชื่อก็ลองเข้าไปตรวจดูความเห็นในข่าวการจับกุมครั้งนี้ก็ได้ว่า แต่ละความเห็นมันรุนแรงแค่ไหน และมีจำนวนมากพรั่งพรูอย่างไร
พฤติกรรมในการล่าสัตว์ป่าอย่างที่เห็นยังเป็นการสะท้อนให้เห็นถึงวุฒิภาวะของคนกลุ่มนี้ ว่า เป็นอย่างไร มีมุมมองต่อสัตว์ป่าสงวนอย่างไรบ้าง
อย่างไรก็ดี สิ่งที่ต้องพิจารณากันต่อเนื่อง ก็คือ มีการระบุว่า เปรมชัย กรรณสูต ได้รับอนุญาตจาก “ผู้ใหญ่” ให้เข้าไปพักค้างแรมในป่าทุ่งใหญ่นเรศวร ในลักษณะเป็น “แขกวีไอพี” ตามที่ ศศิน เฉลิมลาภ เลขาธิการมูลนิธิ สืบ นาคะเสถียร โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว ระบุว่า “มีการอ้างผู้หลักผู้ใหญ่ขอเข้าไปเที่ยวป่าทุ่งใหญ่ ตั้งแคมป์”
ทำให้ต้องจับตากันต่อว่า “ผู้ใหญ่” ที่ว่านั้นคือใครและมีจริงหรือไม่ เพราะถ้ามีจริงรับรองว่า “เรื่องยาว” อย่างที่ว่าจริงๆ อย่างไรก็ดี การจับกุม เปรมชัย กรรณสูต พร้อมของกลางที่เป็นซากสัตว์ป่าหลายรายการ อีกทั้งลักษณะของการตั้งแคมป์ มีคณะบุคคลเข้าไปหลายคนพร้อมอาวุธปืนทันสมัยสำหรับยิงลัตว์โดยเฉพาะเป็นลักษณะของ “ทีมพราน” ทำให้พิจารณาได้ว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรก แต่น่าจะเข้าไปล่าสัตว์มาหลายครั้งแล้วก็เป็นได้
เมื่อต้องโฟกัสไปที่ “ผู้ใหญ่” ว่า เป็นใครและมีจริงหรือไม่ มันก็ต้องเริ่มไปจากท่าทีและคำพูดแปลกๆที่เกิดขึ้นหลังจากมีการเผยแพร่การจับกุม เปรมชัย กรรณสูต ว่าเป็นอย่างไรกันบ้าง เริ่มจาก พล.อ.สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ที่ให้สัมภาษณ์ในครั้งแรก หลังได้รับรายงานการจับกุมดังกล่าวในทำนองว่า “อย่าไปปรักปรำผู้ต้องหา” ต้องพิสูจน์ให้แน่ชัดก่อน ซึ่งแม้ว่าเป็นพูดไปตามน้ำ แต่น้ำหนักดูแล้วเหมือนกับเทไปทางเห็นใจผู้ที่ถูกจับกุม จนทำให้รู้สึก “ทะแม่ง” ขึ้นมาทันที
จนกระทั่งเมื่อรับรู้อาการของกระแสสังคมที่รับไม่ได้กับการล่าสัตว์ป่าและการทำลายทรัพยากรธรรมชาติ ทำให้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติฯ ต้องออกมาให้สัมภาษณ์ใหม่อีกครั้งแบบ “หนังคนละม้วน” เพราะคราวนี้เขาสังให้ดำเนินการไปตามกฎหมายอย่างเต็มที่ และยังแสดงความรู้สึกหดหู่ตามมาด้วยหลังจากทราบว่ามีสัตว์ป่าถูกฆ่า
ขณะเดียวกัน เมื่อพิจารณาจากแบ็กกราวนด์ของผู้ต้องหารายนี้ ถือว่า “ไม่ธรรมดา” อย่างน้อยด้วยความเป็นนักธุรกิจใหญ่ระดับชาติ ย่อมต้องมีสายสัมพันธ์แบบสนิทชิดเชื้อกับระดับ “บิ๊ก” ในรัฐบาลหรือแม้แต่ในคณะรักษาความสงบแห่งชาติมากมายแน่นอน ไม่เช่นนั้น คงไม่สามารถเข้าไปตั้งแคมป์ในป่าลึกได้แบบเป็น “ขบวนใหญ่” ขนาดนี้ เพียงแต่ว่างานนี้อาจ “ผิดคิว” บางอย่าง มีเจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่าอีกชุดหนึ่งลาดตระเวนมาเจอเข้าพอดี จนเกิดเรื่อง และ “ต้องยาว” อย่างที่เห็น หรืออีกทางหนึ่งเป็นเพราะนี่อาจเป็นเพราะ “ป่าอาถรรพ์” ที่ใครทำไม่ดีต้องรับกรรมทุกราย หรือเปล่า !!