“ประยุทธ์” สาธยายแนวทางแก้ปัญหาราคายางตกต่ำ ลั่นขอให้ไว้ใจ - อดทน วอนม็อบไม่ต้องเข้ามาประท้วงที่กรุงเทพฯ เสียเวลา - สิ้นเปลือง ยื่นหนังสือในพื้นที่ก็ถึงนายกฯเหมือนกัน ลั่นไม่อยากให้เป็นเรื่องของการเมือง
วันนี้ (17 พ.ย.) เมื่อเวลา 20.15 น. พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ “ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน” ออกอากาศทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย ถึงปัญหาราคายางพาราตกต่ำ ว่า เราจำเป็นต้องเข้าใจในภาพรวม เพื่อนำไปสู่การแก้ไขปัญหาไปในแนวทางที่จะร่วมมือกันได้ เรื่องที่ 1 คือ ประเด็นราคายางธรรมชาติ และยางสังเคราะห์มีความเกี่ยวโยงกันมากมายกับสถานการณ์หลายอย่าง เช่น ราคาน้ำมันในตลาดโลก ซึ่งสะท้อนต้นทุนการผลิตยางสังเคราะห์ สามารถใช้ทดแทนยางธรรมชาติได้ เช่น ในช่วงปี 2540 - 2548 น้ำมันราคาแพง ทำให้ราคายางสังเคราะห์แพงตามไปด้วย ส่งผลให้หลายประเทศรวมทั้งประเทศไทย หันไปส่งเสริมให้ปลูกยางพาราในประเทศ เพื่อจะลดการนำเข้าราคายางสังเคราะห์ แต่พอราคาน้ำมันลดลง ราคายางสังเคราะห์ก็ลดตาม แต่ปริมาณการผลิตยางธรรมชาติยังคงมาก และเกินความต้องการของตลาด เพราะรัฐหันไปใช้ยางสังเคราะห์ เลยทำให้ราคายางพาราตกต่ำ ซึ่งเกิดขึ้นเป็นระยะๆ
นายกฯ กล่าวต่ออีกว่า เรื่องที่ 2 คือ ประเด็นปริมาณการผลิตยางพารา สืบเนื่องมาจากข้อแรกช่วงปี 2554 - 2558 ทิศทางของโลกลดการผลิตลง แต่ไทยเราผลิตเพิ่มขึ้น ก็เป็นผลมาจากการส่งเสริมให้ปลูกยางพาราในอดีต ซึ่งอาจจะเป็นไปเรื่องเดิม อาจจะทำให้ผลผลิตในช่วงปัจจุบันนั้นมีจำนวนมากพอสมควร ทำให้เกิดความไม่สมดุลกัน เพราะฉะนั้นที่สำคัญเกษตรกรสวนยางไทยนั้น เราจะปลูกยางเป็นพืชเชิงเดี่ยวซะมาก ทำให้เมื่อราคายางผันผวนจะมีผลกระทบต่อรายได้ของครัวเรือนอย่างรุนแรง เหมือนเช่นในปัจจุบันที่กำลังเกิดขึ้นอยู่นี่ ประเทศอื่นนั้นเกษตรกรเขาจะปลูกเป็นพืชทางเลือกเสริมเข้ามาด้วย ควบคู่กับการปลูกยาง เช่น มาเลเซียมุ่งเน้นไปปลูกพืชเศรษฐกิจ อย่างเช่น ปาล์มน้ำมัน 20 - 30 ปีมาแล้ว ส่วนอินโดนีเซียเขาก็ทำเกษตรแบบยังชีพ ทำประมงควบคู่ไปด้วย หรือทำอาชีพไปด้วย เสริมกับการมีผลผลิตจากยางมาเป็นรายได้ของเขา เมื่อราคายางลดลงผู้ปลูกยางในประเทศเหล่านี้ จะชะลอการผลิตยาง และหันไปประกอบอาชีพอื่น เพื่อเป็นการหารายได้เข้ามาทดแทน คล้ายๆ กับเอาพืชการเกษตร หรือรายได้จากยางมาเป็นรายได้เสริม ของเรามันเป็นรายได้หลัก
เรื่องที่ 3 ประเด็นการใช้ยางพาราในประเทศของเราน้อย เมื่อเทียบกับผลผลิต ประเทศไทยเราผลิตยางพาราถึง 4.47 ล้านตัน มีการใช้ยางพาราในประเทศเพียง 0.60 ล้านตัน ที่เหลือส่งออก ซึ่งทำให้ราคายางพาราของเรานั้นต้องขึ้นกับราคาตลาดโลก ซึ่งแปรผันตามปริมาณความต้องการที่ผูกโยงไปกับราคาน้ำมันด้วย เพิ่มความซับซ้อนจนไม่สามารถควบคุมได้ทั้งหมด ถึงแม้ว่าประเทศไทย อินโดนีเซีย และมาเลเซีย ซึ่งอาจจะถือว่าเราเป็นประเทศผู้ผลิตยางพารารายใหญ่ของโลก มีพื้นที่กรีดยางพารารวมกัน 50.23 ล้านไร่ คิดเป็นร้อยละ 62.09 ของพื้นที่ผลิตยางพาราของโลก มีผลผลิตรวม 8.6 ล้านตัน คิดเป็นร้อยละ 63.27 ของผลผลิตโลกก็ตาม อินโดนีเซียมีการใช้ยางพาราในประเทศน้อยมากเช่นกัน แต่ที่กล่าวไปแล้ว การปลูกยางไม่ใช่รายได้หลัก ส่วนมาเลเซียได้สร้างสมดุลการใช้ยางพาราในประเทศให้ใกล้เคียงกับผลผลิต รวมทั้งสนับสนุนการปลูกปาล์มน้ำมัน และการปลูกพืชเชิงซ้อนอื่นๆ อีกด้วย เรื่องนี้เราต้องให้ความสำคัญ เราต้องช่วยกันทำต่อไป
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวด้วยว่า เรื่องที่ 4 คือ ความไม่เหมาะสมของพื้นที่ปลูกยางพาราในปี 2559 ประเทศไทยมีพื้นที่ปลูกยางพารา 20 ล้านไร่ โดยเฉลี่ยอัตราผลผลิตประมาณ 225-245 กิโลกรัมต่อไร่ ในขณะที่พื้นที่กรีดยางภาคเหนือให้ผลผลิตเฉลี่ยต่ำสุดคือ 143 กิโลกรัมต่อไร่ และภาคอีสานให้ผลผลิตเพียง 185 กิโลกรัมต่อไร่ เนื่องจากอากาศ ปริมาณน้ำ สภาพดิน ไม่เหมาะกับการปลูกยางพาราที่ต้องการอากาศร้อนชื้น และฝนตกชุกเหมือนภาคใต้ ทำให้ผลผลิตต่อไร่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย อีกทั้งปัญหาค่าขนส่ง ผลิตภัณฑ์ยางมาสู่ตลาดยาง ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ภาคใต้ก็เป็นส่วนหนึ่งของต้นทุนของเกษตรกรสวนยางที่ต้องเพิ่มขึ้นอีกด้วย ดังนั้นแนวทางการแก้ไขปัญหาของยางพาราของรัฐบาลนี้ ระยะยาวเพื่อความยั่งยืนคือ
1) ส่งเสริมให้เกษตรกรชาวสวนยางประกอบอาชีพเสริม เช่น เกษตรทฤษฎีใหม่ เกษตรผสมผสาน การปลูกพืชแสม เช่น ไม้ผล ไม้ยืนต้น พืชผัก พืชไร่ พืชสมุนไพรที่เหมาะสมกับตลาดท้องถิ่นของตนเอง การทำปศุสัตว์ ประมงควบคู่ไปกับการทำสวนยาง เพื่อให้มีรายได้ที่หลากหลายเป็นการสร้างภูมิคุ้มกัน และกระจายความเสี่ยง ลดการพึ่งพารายได้จากการทำสวนยางแต่เพียงอย่างเดียว เช่นรัฐบาลนี้ให้มีการสนับสนุนสินเชื่อให้เกษตรกรสวนยางรายย่อย สำหรับประกอบอาชีพเสริม เป็นต้น ที่ผ่านมา มีชาวสวนยางประกอบอาชีพเสริมประมาณ 3.8 แสนราย และในปี 2560 มีชาวสวนยางทำเกษตรแบบผสมผสานมากขึ้น อีกกว่า 3 พันราย คิดเป็นร้อยละ 7 ของจำนวนเกษตรกรทั้งหมดที่โค่นยาง และปลูกในปีนี้ ยังไม่พอต้องมากกว่านี้ และรัฐบาลจะได้ไปส่งเสริมเรื่องการตลาดด้วย
2) สนับสนุนสินเชื่ออัตราดอกเบี้ยต่ำ รัฐจะชดเชยอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 3 ต่อปีให้แก่เกษตรกร และผู้ประกอบการในการดำเนินธุรกิจแปรรูปยาง ทั้งเป็นเงินทุนหมุนเวียน การปรับปรุงอาคาร การจัดหาเครื่องจักรอุปกรณ์สมัยใหม่ เพื่อจะพัฒนาศักยภาพในการส่งออก และแปรรูปยางในอนาคต
3) ส่งเสริมให้มีการใช้ยางพารา เพื่อจะเป็นวัตถุดิบในการผลิตภัณฑ์ยางภายในประเทศให้มากขึ้น รวมทั้งได้มอบหมายให้หน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องได้ใช้ยางพาราเพิ่มขึ้นด้วย เช่น การสร้างถนน ลานกีฬา ถุงมือยาง และอื่นๆ เป็นต้น
4) ควบคุมและลดพื้นที่ปลูกให้เหมาะสม โดยลดพื้นที่ปลูกยางลงให้ได้ มีเป้าหมายปีละ 4 แสนไร่ แต่ต้องหาอย่างอื่นแทน เพื่อจำกัดปริมาณผลผลิตให้มีความสมดุลกับความต้องการใช้ ปัจจุบันเราสามารถลดพื้นที่ปลูกได้แล้ว 1.19 ล้านไร่ สามารถลดผลผลิตได้ 0.27 ล้านตัน จะเห็นว่าลดได้น้อยมาก แต่จะทำยังไงได้ เพราะเขาไม่มีอาชีพอื่นเลย มันต้องหาอาชีพอื่นให้เขาทำด้วย มันจะได้ลดได้เร็วขึ้น ซึ่งจะทำให้ปริมาณผลผลิตยางในตลาดโลกใกล้เคียงกับความต้องการ ทำให้ราคาไม่ตกต่ำมากนัก
ทั้งนี้ เราจะเน้นการลดพื้นที่ปลูกยางที่ไม่เหมาะสมในบางพื้นที่ พื้นที่ภาคเหนือ ซึ่งคงมีปัญหาทั้งปริมาณน้ำ ระบบชลประทาน และการขนส่งที่ล้วนแต่มีต้นทุนสูง หรือพื้นที่อื่นๆ ที่ไม่มีเอกสารสิทธิ์ ซึ่งมีกว่า 2 ล้านไร่ในปัจจุบัน ว่าบุคคลที่ทำสวนยางในพื้นที่นี้ได้อย่างไร นั่นก็เป็นงานหนักอีกอัน
5. การจัดตั้งการยางแห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม 2558 ตาม พ.ร.บ. การยางแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2558 ได้มีการยุบรวม 3 หน่วยงาน คือ สถาบันวิจัยยาง กรมวิชาการเกษตร สำนักงานกองทุนสงเคราะห์การทำสวนยาง และองค์การสวนยางเข้าด้วยกัน มีภารกิจในการจัดทำยุทธศาสตร์ สำหรับการบริหารจัดการยางของประเทศแบบครบวงจร ให้มีประสิทธิภาพ อันนี้เราเพิ่งเริ่มปฏิบัติมา มันอาจจะมีหลายอย่างถูกใจบ้าง ไม่ถูกใจบ้าง เพราะว่าวันนี้เราต้องเอาภาคเอกชนมาร่วมด้วย แต่จะทำยังไงให้เกิดความโปร่งใส ซึ่งเรื่องที่ร้องเรียนกันขึ้นมาต่างๆ อันนี้รัฐบาลได้ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้ตรวจสอบการดำเนินการต่างๆ ของ กยท.ตามที่มีการร้องเรียนอยู่
เรื่องที่ 6 ความร่วมมือกับประเทศผู้ผลิตยางพาราที่สำคัญของโลก เราทำมาตลอด ไม่ใช่ไม่ทำเลย ได้แก่ อินโดนีเซีย มาเลเซีย และไทย ผ่านสภาไตรภาคียางระหว่างประเทศ มีมาตรการควบคุมอุปทานยางให้อนาคต มีปริมาณการผลิตยางพาราของแต่ละประเทศในปริมาณที่เหมาะสม ส่วนใหญ่มีปัญหาที่เรา เพื่อจะสอดคล้องความต้องการของตลาดโลก เพราะว่าถ้าหากสถานการณ์ยางพาราตกต่ำมาก เราจะต้องมีมาตรการในการควบคุมปริมาณการส่งออกยางพาราของประเทศสมาชิกเหล่านี้ เป็นต้น ต้องหารือกันบางครั้งมันอาจจะไม่เห็นชอบร่วมกัน ใครเขาไม่เดือดร้อน เดือดร้อนน้อย เขาไม่อยากจะมีมาตรการเหล่านั้น แต่เรามีปัญหามากที่สุด
“เพราะฉะนั้นผมอยากให้ทุกคนทุกฝ่ายในห่วงโซ่ของยางพาราไทย ได้มีความเข้าใจที่ตรงกัน ขอให้ทุกคนได้อดทน เปลี่ยนแปลงไว้ใจซึ่งกันและกัน และมีหลักการและเหตุผล ไม่ว่าจะประท้วง หรือยื่นหนังสืออะไรต่างๆ ก็ตาม ผมขอร้องขอให้ยื่นอย่างสงบแล้วกัน ไม่อยากให้มีการนำเกษตรกรเข้ามาถึงกรุงเทพฯ ต้องมายื่นกับนายกฯ ก็มาคนเดียว ยื่นในพื้นที่นั่นแหละ เขาก็ส่งถึงผมอยู่ดี มาเสียเวลาการทำมาหากินเปล่าๆ สิ้นเปลืองด้วย ผมไม่อยากให้เรื่องนี้เป็นเรื่องของการเมือง ผมเข้าใจเศรษฐกิจสำคัญที่สุด ปัญหามันอยู่ที่ว่าไงครับ ถ้าทุกคนทำสวนยาง ในเมื่อยางมันราคาไม่ดี คุณภาพชีวิตก็ไม่ดี เพราะรายได้มีแต่ยางอย่างเดียว มันต้องคิดใหม่ จะได้แก้ปัญหาได้ร่วมกันตามนโยบายต่างๆ ของรัฐบาล ทุกฝ่ายมีประโยชน์ร่วมกัน รัฐบาลไม่มีข้อขัดแย้ง มีรายได้มากขึ้น ประชาชน เกษตรกรสวนยาง หรือเกษตรกรอื่นๆ ต้องทำเช่นเดียวกันนี่แหละ” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
คำต่อคำ : รายการ “ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน” 17 พ.ย. 2560
สวัสดีครับ พ่อแม่พี่น้องชาวไทยที่รักทุกท่าน ในการทำงานของรัฐบาลนี้ และ คสช. เรามุ่งเน้นการวางรากฐานการพัฒนาประเทศ และเราจะต้องดำเนินการเชิงรุก เพื่อป้องกันปัญหาต่างๆ ให้แก้ไขได้อย่างยั่งยืน ช่วงที่ผ่านมานั้นหลายปัญหารัฐบาลได้ดำเนินการแก้ไขด้วยมาตรการระยะสั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัญหาเฉพาะหน้า และทำควบคู่ไปกับมาตรการระยะกลาง ระยะยาว เพื่อจะแก้ไขที่ต้นตอของปัญหา ไม่ให้มันเกิดซ้ำขึ้นมาอีกเหมือนเช่นอดีตที่ผ่านมา เรื่องน้ำท่วม ปัญหาราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ วันนี้เราต้องพูดคุยกันด้วยเหตุผลข้อเท็จจริงอย่างเปิดเผย เพื่อให้ทุกฝ่ายได้เข้าใจปัญหาอย่างแท้จริงเหมือนอย่างที่ผมและรัฐบาลเข้าใจ เพื่อให้เกิดความร่วมมือกัน วันนี้หลายอย่างเปลี่ยนแปลงไปแล้ว โลกเปลี่ยนแปลงไปมาก เราต้องคิดร่วมกันทำร่วมกันให้ได้
สำหรับปัญหาสำคัญอีกประการหนึ่งคือ ราคายางพาราตกต่ำ เราจำเป็นต้องเข้าใจในภาพรวม เพื่อนำไปสู่การแก้ไขปัญหาไปในแนวทางที่จะร่วมมือกันได้ เรื่องที่ 1 คือ ประเด็นราคายางธรรมชาติ และยางสังเคราะห์มีความเกี่ยวโยงกันมากมายกับสถานการณ์หลายอย่าง เช่น ราคาน้ำมันในตลาดโลก ซึ่งสะท้อนต้นทุนการผลิตยางสังเคราะห์ สามารถใช้ทดแทนยางธรรมชาติได้ เช่น ในช่วงปี 2540 - 2548 น้ำมันราคาแพง ทำให้ราคายางสังเคราะห์แพงตามไปด้วย ส่งผลให้หลายประเทศรวมทั้งประเทศไทย หันไปส่งเสริมให้ปลูกยางพาราในประเทศ เพื่อจะลดการนำเข้าราคายางสังเคราะห์ แต่พอราคาน้ำมันลดลง ราคายางสังเคราะห์ก็ลดตาม แต่ปริมาณการผลิตยางธรรมชาติยังคงมาก และเกินความต้องการของตลาด เพราะรัฐหันไปใช้ยางสังเคราะห์ เลยทำให้ราคายางพาราตกต่ำ ซึ่งเกิดขึ้นเป็นระยะๆ
เรื่องที่ 2 คือ ประเด็นปริมาณการผลิตยางพารา สืบเนื่องมาจากข้อแรกช่วงปี 2554 - 2558 ทิศทางของโลกลดการผลิตลง แต่ไทยเราผลิตเพิ่มขึ้น ก็เป็นผลมาจากการส่งเสริมให้ปลูกยางพาราในอดีต ซึ่งอาจจะเป็นไปเรื่องเดิม อาจจะทำให้ผลผลิตในช่วงปัจจุบันนั้นมีจำนวนมากพอสมควร ทำให้เกิดความไม่สมดุลกัน เพราะฉะนั้นที่สำคัญเกษตรกรสวนยางไทยนั้น เราจะปลูกยางเป็นพูดเชิงเดี่ยวซะมาก ทำให้เมื่อราคายางผันผวนจะมีผลกระทบต่อรายได้ของครัวเรือนอย่างรุนแรง เหมือนเช่นในปัจจุบันที่กำลังเกิดขึ้นอยู่นี่ ประเทศอื่นนั้นเกษตรกรเขาจะปลูกเป็นพืชทางเลือกเสริมเข้ามาด้วย ควบคู่กับการปลูกยาง เช่น มาเลเซียมุ่งเน้นไปปลูกพืชเศรษฐกิจ อย่างเช่น ปาล์มน้ำมัน 20 - 30 ปีมาแล้ว ส่วนอินโดนีเซียเขาก็ทำเกษตรแบบยังชีพ ทำประมงควบคู่ไปด้วย หรือทำอาชีพไปด้วย เสริมกับการมีผลผลิตจากยางมาเป็นรายได้ของเขา เมื่อราคายางลดลงผู้ปลูกยางในประเทศเหล่านี้ จะชะลอการผลิตยาง และหันไปประกอบอาชีพอื่น เพื่อเป็นการหารายได้เข้ามาทดแทน คล้ายๆ กับเอาพืชการเกษตร หรือรายได้จากยางมาเป็นรายได้เสริม ของเรามันเป็นรายได้หลัก
เรื่องที่ 3 ประเด็นการใช้ยางพาราในประเทศของเราน้อย เมื่อเทียบกับผลผลิต ประเทศไทยเราผลิตยางพาราถึง 4.47 ล้านตัน มีการใช้ยางพาราในประเทศเพียง 0.60 ล้านตัน ที่เหลือส่งออก ซึ่งทำให้ราคายางพาราของเรานั้นต้องขึ้นกับราคาตลาดโลก ซึ่งแปรผันตามปริมาณความต้องการที่ผูกโยงไปกับราคาน้ำมันด้วย เพิ่มความซับซ้อนจนไม่สามารถควบคุมได้ทั้งหมด ถึงแม้ว่าประเทศไทย อินโดนีเซีย และมาเลเซีย ซึ่งอาจจะถือว่าเราเป็นประเทศผู้ผลิตยางพารารายใหญ่ของโลก มีพื้นที่กรีดยางพารารวมกัน 50.23 ล้านไร่ คิดเป็นร้อยละ 62.09 ของพื้นที่ผลิตยางพาราของโลก มีผลผลิตรวม 8.6 ล้านตัน คิดเป็นร้อยละ 63.27 ของผลผลิตโลกก็ตาม อินโดนีเซียมีการใช้ยางพาราในประเทศน้อยมากเช่นกัน แต่ที่กล่าวไปแล้ว การปลูกยางไม่ใช่รายได้หลัก ส่วนมาเลเซียได้สร้างสมดุลการใช้ยางพาราในประเทศให้ใกล้เคียงกับผลผลิต รวมทั้งสนับสนุนการปลูกปาล์มน้ำมัน และการปลูกพืชเชิงซ้อนอื่นๆ อีกด้วย เรื่องนี้เราต้องให้ความสำคัญ เราต้องช่วยกันทำต่อไป
เรื่องที่ 4 คือ ความไม่เหมาะสมของพื้นที่ปลูกยางพาราในปี 2559 ประเทศไทยมีพื้นที่ปลูกยางพารา 20 ล้านไร่ โดยเฉลี่ยอัตราผลผลิตประมาณ 225-245 กิโลกรัมต่อไร่ ในขณะที่พื้นที่กรีดยางภาคเหนือให้ผลผลิตเฉลี่ยต่ำสุด คือ 143 กิโลกรัมต่อไร่ และภาคอีสานให้ผลผลิตเพียง 185 กิโลกรัมต่อไร่ เนื่องจากอากาศ ปริมาณน้ำ สภาพดิน ไม่เหมาะกับการปลูกยางพาราที่ต้องการอากาศร้อนชื้น และฝนตกชุกเหมือนภาคใต้ ทำให้ผลผลิตต่อไร่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย อีกทั้งปัญหาค่าขนส่ง ผลิตภัณฑ์ยางมาสู่ตลาดยาง ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ภาคใต้ก็เป็นส่วนหนึ่งของต้นทุนของเกษตรกรสวนยางที่ต้องเพิ่มขึ้นอีกด้วย ดังนั้นแนวทางการแก้ไขปัญหาของยางพาราของรัฐบาลนี้ ระยะยาวเพื่อความยั่งยืนคือ
1) ส่งเสริมให้เกษตรกรชาวสวนยางประกอบอาชีพเสริม เช่น เกษตรทฤษฎีใหม่ เกษตรผสมผสาน การปลูกพืชแสม เช่น ไม้ผล ไม้ยืนต้น พืชผัก พืชไร่ พืชสมุนไพรที่เหมาะสมกับตลาดท้องถิ่นของตนเอง การทำปศุสัตว์ ประมงควบคู่ไปกับการทำสวนยาง เพื่อให้มีรายได้ที่หลากหลายเป็นการสร้างภูมิคุ้มกัน และกระจายความเสี่ยง ลดการพึ่งพารายได้จากการทำสวนยางแต่เพียงอย่างเดียว เช่นรัฐบาลนี้ให้มีการสนับสนุนสินเชื่อให้เกษตรกรสวนยางรายย่อย สำหรับประกอบอาชีพเสริม เป็นต้น ที่ผ่านมามีชาวสวนยางประกอบอาชีพเสริมประมาณ 3.8 แสนราย และในปี 2560 มีชาวสวนยางทำเกษตรแบบผสมผสานมากขึ้น อีกกว่า 3 พันราย คิดเป็นร้อยละ 7 ของจำนวนเกษตรกรทั้งหมดที่โค่นยาง และปลูกในปีนี้ ยังไม่พอต้องมากกว่านี้ และรัฐบาลจะได้ไปส่งเสริมเรื่องการตลาดด้วย
2) สนับสนุนสินเชื่ออัตราดอกเบี้ยต่ำ รัฐจะชดเชยอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 3 ต่อปีให้แก่เกษตรกร และผู้ประกอบการในการดำเนินธุรกิจแปรรูปยาง ทั้งเป็นเงินทุนหมุนเวียน การปรับปรุงอาคาร การจัดหาเครื่องจักรอุปกรณ์สมัยใหม่ เพื่อจะพัฒนาศักยภาพในการส่งออก และแปรรูปยางในอนาคต
3) ส่งเสริมให้มีการใช้ยางพารา เพื่อจะเป็นวัตถุดิบในการผลิตภัณฑ์ยางภายในประเทศให้มากขึ้น รวมทั้งได้มอบหมายให้หน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องได้ใช้ยางพาราเพิ่มขึ้นด้วย เช่น การสร้างถนน ลานกีฬา ถุงมือยาง และอื่นๆ เป็นต้น
4) ควบคุมและลดพื้นที่ปลูกให้เหมาะสม โดยลดพื้นที่ปลูกยางลงให้ได้ มีเป้าหมายปีละ 4 แสนไร่ แต่ต้องหาอย่างอื่นแทน เพื่อจำกัดปริมาณผลผลิตให้มีความสมดุลกับความต้องการใช้ ปัจจุบันเราสามารถลดพื้นที่ปลูกได้แล้ว 1.19 ล้านไร่ สามารถลดผลผลิตได้ 0.27 ล้านตัน จะเห็นว่าลดได้น้อยมาก แต่จะทำยังไงได้ เพราะเขาไม่มีอาชีพอื่นเลย มันต้องหาอาชีพอื่นให้เขาทำด้วย มันจะได้ลดได้เร็วขึ้น ซึ่งจะทำให้ปริมาณผลผลิตยางในตลาดโลกใกล้เคียงกับความต้องการ ทำให้ราคาไม่ตกต่ำมากนัก
ทั้งนี้ เราจะเน้นการลดพื้นที่ปลูกยางที่ไม่เหมาะสมในบางพื้นที่ พื้นที่ภาคเหนือ ซึ่งคงมีปัญหาทั้งปริมาณน้ำ ระบบชลประทาน และการขนส่งที่ล้วนแต่มีต้นทุนสูง หรือพื้นที่อื่นๆ ที่ไม่มีเอกสารสิทธิ์ ซึ่งมีกว่า 2 ล้านไร่ในปัจจุบัน ว่าบุคคลที่ทำสวนยางในพื้นที่นี้ได้อย่างไร นั่นก็เป็นงานหนักอีกอัน
5. การจัดตั้งการยางแห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม 2558 ตาม พ.ร.บ.การยางแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2558 ได้มีการยุบรวม 3 หน่วยงาน คือ สถาบันวิจัยยาง กรมวิชาการเกษตร สำนักงานกองทุนสงเคราะห์การทำสวนยาง และองค์การสวนยางเข้าด้วยกัน มีภารกิจในการจัดทำยุทธศาสตร์ สำหรับการบริหารจัดการยางของประเทศแบบครบวงจร ให้มีประสิทธิภาพ อันนี้เราเพิ่งเริ่มปฏิบัติมา มันอาจจะมีหลายอย่างถูกใจบ้าง ไม่ถูกใจบ้าง เพราะว่าวันนี้เราต้องเอาภาคเอกชนมาร่วมด้วย แต่จะทำยังไงให้เกิดความโปร่งใส ซึ่งเรื่องที่ร้องเรียนกันขึ้นมาต่างๆ อันนี้รัฐบาลได้ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้ตรวจสอบการดำเนินการต่างๆ ของ กยท. ตามที่มีการร้องเรียนอยู่
เรื่องที่ 6 ความร่วมมือกับประเทศผู้ผลิตยางพาราที่สำคัญของโลก เราทำมาตลอด ไม่ใช่ไม่ทำเลย ได้แก่ อินโดนีเซีย มาเลเซีย และไทย ผ่านสภาไตรภาคียางระหว่างประเทศ มีมาตรการควบคุมอุปทานยางให้อนาคต มีปริมาณการผลิตยางพาราของแต่ละประเทศในปริมาณที่เหมาะสม ส่วนใหญ่มีปัญหาที่เรา เพื่อจะสอดคล้องความต้องการของตลาดโลก เพราะว่าถ้าหากสถานการณ์ยางพาราตกต่ำมาก เราจะต้องมีมาตรการในการควบคุมปริมาณการส่งออกยางพาราของประเทศสมาชิกเหล่านี้ เป็นต้น ต้องหารือกันบางครั้งมันอาจจะไม่เห็นชอบร่วมกัน ใครเขาไม่เดือดร้อน เดือดร้อนน้อย เขาไม่อยากจะมีมาตรการเหล่านั้น แต่เรามีปัญหามากที่สุด
เพราะฉะนั้นผมอยากให้ทุกคนทุกฝ่ายในห่วงโซ่ของยางพาราไทย ได้มีความเข้าใจที่ตรงกัน ขอให้ทุกคนได้อดทน เปลี่ยนแปลงไว้ใจซึ่งกันและกัน และมีหลักการและเหตุผล ไม่ว่าจะประท้วง หรือยื่นหนังสืออะไรต่างๆ ก็ตาม ผมขอร้องขอให้ยื่นอย่างสงบแล้วกัน ไม่อยากให้มีการนำเกษตรกรเข้ามาถึงกรุงเทพฯ ต้องมายื่นกับนายกฯ ก็มาคนเดียว ยื่นในพื้นที่นั่นแหละ เขาก็ส่งถึงผมอยู่ดี มาเสียเวลาการทำมาหากินเปล่าๆ สิ้นเปลืองด้วย ผมไม่อยากให้เรื่องนี้เป็นเรื่องของการเมือง ผมเข้าใจเศรษฐกิจสำคัญที่สุด ปัญหามันอยู่ที่ว่าไงครับ ถ้าทุกคนทำสวนยาง ในเมื่อยางมันราคาไม่ดี คุณภาพชีวิตก็ไม่ดี เพราะรายได้มีแต่ยางอย่างเดียว มันต้องคิดใหม่ จะได้แก้ปัญหาได้ร่วมกันตามนโยบายต่างๆ ของรัฐบาล ทุกฝ่ายมีประโยชน์ร่วมกัน รัฐบาลไม่มีข้อขัดแย้ง มีรายได้มากขึ้น ประชาชน เกษตรกรสวนยาง หรือเกษตรกรอื่นๆ ต้องทำเช่นเดียวกันนี่แหละ
พี่น้องประชาชนที่รักครับ ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ผมได้มีโอกาสเข้าร่วมการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจพิเศษเอเปก ครั้งที่ 25 ที่นครดานัง ประเทศสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม ได้พบปะหารือผู้นำจาก 21 เขตเศรษฐกิจรอบๆ มหาสมุทรแปซิฟิก เพื่อจะสร้างความร่วมมือทางเศรษฐกิจร่วมกัน ผมได้เสนอที่ประชุมแนวนโยบายประเทศไทย 4.0 ไทยแลนด์+1 ในการปรับปรุงสร้างเศรษฐกิจ ด้วยการสร้างมูลค่าเพิ่มผ่านทางประยุกต์ใช้นวัตกรรมในการเกษตร การสนับสนุนการเกษตร สนับสนุนเกษตรกรให้เป็นสมาร์ทฟาร์เมอร์ ได้พร้อมนำเกษตรทฤษฎีใหม่ตามหลักปรัญชาของเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๙ มาปรับใช้กับเทคโนโลยีสมัยใหม่
ส่วนในภาคการผลิต ผมได้กล่าวถึงการจัดตั้งเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ และอีอีซี เพื่อจะสนับสนุนการยกระดับอุตสาหกรรมในประเทศ และเพิ่มมูลค่าในการแข่งขัน จนสามารถจะไปสู่เวทีโลกได้ ที่สำคัญคือเราต้องเข้มแข็ง สร้างนวัตกรรม มีขีดความสามารถสูง ไม่อย่างนั้นเราสู้เขาไม่ได้ สินค้าเรากลัวขายไม่ออก มันทำให้ห่วงโซ่ทั้งหมดมันมีปัญหา คนในห่วงโซ่ สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ เราต้องเตรียมการให้รองรับการเปลี่ยนแปลงในยุคดิจิทัล ในขณะเดียวกันต้องสร้างความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ให้ความสำคัญในเรื่องของการอำนวยความสะดวกของการประกอบการธุรกิจ การสนับสนุนไมโครเอสเอ็มอี และการเตรียมพร้อมในการเข้าเป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่อุปทานของภูมิภาค และของโลก เราอยู่คนเดียวไม่ได้ เราต้องอยู่กับคนอื่นเขาด้วย เพราะฉะนั้นการหารือต้องเป็นทั้งทวิภาคี และพหุภาคี โดยทั้งหมดนั้นผมได้เน้นย้ำว่า ประเทศไทยได้ตระหนักถึงความสำคัญของความเชื่อมโยงทั้งทางเศรษฐกิจ การค้า และการลงทุนทั้งกายภาพ และอื่นๆ ที่สำคัญคือ ประชาชนระหว่างประเทศสมาชิก ในการสร้างความเติบโตไปด้วยกันอย่างยั่งยืน เราคงต้องเร่งการผลักดันการเกิดเสรีการค้าระหว่างกันให้มากขึ้น
ที่ประชุมได้ย้ำเตือนเจตนารมณ์ร่วมของเอเปก ในการบรรลุเป้าหมายไปอีก 3 ปี ที่ตั้งเป้าจะต้องให้เปิดเสรีการค้า และการลงทุนในภูมิภาคให้ได้ ภายในปี 2563 สำหรับสมาชิกที่พัฒนาแล้ว และในปี 2563 สำหรับประเทศสมาชิกที่กำลังพัฒนาที่เหลือ เรามีเวลาไม่มาก อีกเพียง 3 ปี ที่เราต้องช่วยกันขับเคลื่อนในทุกมิติไปพร้อมๆ กันด้วย ในการประชุมครั้งนี้จะเห็นได้ว่า มีผู้นำใหญ่ๆ หลายประเทศเข้ามาร่วมด้วย ผมได้ผลักดันบทบาทของไทยในฐานะหนึ่้งในประเทศหลักของอาเซียน รวทถึงการสร้างภาพลักษณ์ของความเป็นผู้นำทางความคิด มีวิสัยทัศน์ในการพัฒนาประเทศให้เติบโตไปกับภูมิภาคได้อย่างยั่งยืน คือต้องไปด้วยกัน เราต้องโชว์คนอื่นเขาด้วย ทำคนเดียว เก่งคนเดียวมันก็ไปไม่ได้ ด้วยหลักปรัญชาของเศรษฐกิจพอเพียง เพื่อจะสร้างความเข้มแข็งจากภายใน ระเบิดจากข้างใน และสร้างประโยชน์ให้กับภูมิภาคได้อย่างเต็มที่ในภาพรวมผ่านความร่วมมือในการทำการค้า การลงทุนระหว่างกัน
ผมหวังว่าเราจะเปิดประตูโอกาสของแต่ละประเทศตามศักยภาพ และช่วยกันพัฒนาศักยภาพที่มีอยู่ เพื่อให้เกิดการสนับสนุนการทำธุรกิจของภาคเอกชน รวมถึงการถ่ายทอดเทคโนโลยี เพื่อจะยกระดับศักยภาพการผลิต และรายได้ของประเทศต่อไป เพื่อลดความเหลื่อมล้ำของการพัฒนา ลดช่องว่างในการพัฒนา ซึ่งมันแตกต่างกันมากในวันนี้
หลังการประชุมเอเปกได้เดินทางต่อไปยังกรุงมะนิลา ประเทศฟิลิปปินส์ เพื่อจะร่วมประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 31 ในปีนี้ถือว่าเป็นช่วงเวลาสำคัญ เนื่องด้วยเป็นการครบรอบ 50 ปีอาเซียน ที่ผ่านมาถือว่าเรามีความร่วมมือในภูมิภาคอย่างดียิ่ง มีความคืบหน้าไปมาก มูลค่าการค้าระหว่างกันในช่วงเริ่มต้นประมาณ 1 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ปัจจุบันเพิ่มเป็น 23,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปัจจุบัน ในขณะที่รายได้ต่อหัวประชากรของภูมิภาค ประจำปี 2550 - 2558 ขยายตัวถึงร้อยละ 63.2 สูงขึ้นมาก แต่คงยังไม่พอ เพราะหลายประเทศมีความแตกต่าง มีความเหลื่อมล้ำกันอยู่ ประเด็นสำคัญที่ผู้นำได้หารือกัน คือการมองอนาคตของประชุมอาเซียน มองไปข้างหน้าทั้งการเมือง เศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม อย่างมีเสถียรภาพ โดยยึดหลักนิติธรรม มีประชาชนเป็นศูนย์กลางให้ตรงความต้องการของเขา ให้เขาได้รับประโยชน์สูงสุด พร้อมทั้งประเด็นอื่นๆ สิ่งที่เป็นความท้าทายของโลก อาทิ การรักษาความเป็นแกนกลางของอาเซียนในสถาปัตยกรรมของภูมิภาค
นอกจากนี้ มีการหารือในประเด็นที่คาบเกี่ยวระหว่าง 3 เสาหลักของอาเซียน การเมือง เศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม อาทิ โครงการและแผนงานที่เป็นรูปธรรม เพื่อจะส่งเสริมและขยายความเชื่อมโยงภายใน และนอกภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมทั้งการดำเนินการเพื่อบรรลุเป้าหมายตามวิสัยทัศน์ประชาคมอาเซียน ค.ศ. 2025 และวาระการพัฒนาที่ยั่งยืน ค.ศ. 2030 ซึ่งประเทศไทยอยู่ในฐานะเป็นผู้ประสานงานของอาเซียนด้วย และในฐานะที่ผมเป็นตัวแทนของพี่น้องประชาชนชาวไทย และประเทศไทย ผมได้แจ้งต่อที่ประชุมว่า เรายังคงต้องร่วมกันขับเคลื่อนประชาคมอาเซียนให้เข้มแข็ง มั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืนต่อไปให้ได้ ในอีก 50 ปีข้างหน้า ถึงแม้โลกจะมีการเปลี่ยนแปลงไปก็ตาม เราเตรียมความพร้อมของเราเสมอ รองมาตรการ รองรับความเสี่ยง การเปลี่ยนแปลงของโลกใบนี้ ซึ่งเป็นพลวัฒน์ เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ไปทุกๆ เรื่อง เราต้องให้ความสำคัญเรื่องการเสริมสร้างศักยภาพ ในการที่จะสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ๆ เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ส่งเสริมความมั่นคงของมนุษย์ให้อาเซียนขยายบทบาทให้มากขึ้น ในเศรษฐกิจโลก รวมถึงการขยายความเชื่อมโยงออกไปจากนอกภูมิภาค เช่น เอเชีย และแปซิฟิก รวมทั้งประชาคมโลกอย่างเป็นระบบ เพื่อจะรองรับการค้า และการลงทุนที่มีมากขึ้น และเป็นประตูสู่ตลาดใหม่ๆ ให้กับภูมิภาค ในขณะเดียวกันเราต้องสร้างความเข้มแข็งภายในของอาเซียน สร้างความมั่นคงทางพลังงานและอาหาร รวมถึงการรับมือกับภัยคุกคามจากนอกภูมิภาค เราจะต้องพยายามดำเนินการร่วมกัน โดยสันติวิธี ขจัดความขัดแย้ง เราสามารรถที่จะเป็นทั้งศักยภาพในด้านเป็นผู้ผลิต หลายๆ อย่าง เช่น ด้านการเกษตร หรือเทคโนโลยี การพัฒนาดิจิทัลอะไรต่างๆ เหล่านี้ เราน่าจะไปเป็นหลักได้ โดยอาเซียนต้องร่วมมือกัน
ในส่วนที่ 2 เราเป็นในเรื่องของศักยภาพในเรื่องของการเป็นตลาดใหญ่ เพราะเรามีพลเมืองรวมกันถึง 600 กว่าล้านคน เหล่านี้เราต้องคำนึงถึงเป็นผู้ผลิตที่มีคุณภาพ สินค้าที่เป็นนวัตกรรมมีคุณค่าแข่งขันได้ในตลาดต่างประเทศ และเราเป็นตลาดที่ประชาชนมีรายได้เพียงพอ ในการที่จะเข้าไปใช้เทคโนโลยี โดยการใช้ดิจิทัลเข้ามาเสริม สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่เราต้องคิดใหม่ ทำใหม่ร่วมกัน รัฐ ประชาชน เอกชน
ในการเดินทางไปเยือนต่างประเทศในครั้งนี้ ผมต้องการให้ประชาคมโลกได้เห็นถึงความสำคัญของเราที่ใช้การขับเคลื่อน โดยกลไกประชารัฐ ทุกประเทศก็เห็นชอบ ทุกประเทศพยายามทำแบบนี้เช่นเดียวกัน แต่เราเรียกว่าประชารัฐของเรา เราต้องอาศัยความพยายามของภาครัฐให้มากขึ้น ประกอบกับความร่วมมือร่วมใจของภาคเอกชน และประชาชน ถ้ารัฐคิด และรัฐทำอย่างเดียวมันไปไม่ได้ เพราะฉะนั้นต้องช่วยกันคิดช่วยกันทำ รัฐ เอกชน ประชาสังคม แม้กระทั่งในส่วนของเอ็นจีโอต่างๆ ต้องช่วยกัน อะไรที่ช่วยกันพัฒนาประเทศ เราคิดอย่างเดิมบางทีมันไม่ได้ มันทำให้ทุกอย่างมันเดินไม่ได้ไง การใช้จ่ายภาครัฐก็ลงไปไม่ได้ โครงการก็ไม่ได้รับการอนุมัติ การเบิกจ่ายงบประมาณก็ทำได้ช้า มันเลยทำให้ไม่เกิดทั้งเม็ดเงิน เม็ดงาน อาชีพรายได้ลงไปสู่พื้นที่ท้องถิ่น และปัญหาเราก็ซ้ำแล้วซ้ำเล่าอยู่อย่างเดิม ปัญหาน้ำท่วม ฝนแล้ง การพัฒนาที่เหลื่อมล้ำกัน ทุกภาคไม่มีความเข้มแข็ง ดีมานด์ ซัพพลายก็ไม่สอดคล้อง เหล่านี้มันจะต้องใช้กลกลประชารัฐทั้งหมด และเดินไปตามแผนการปฏิรูปของเราตามยุทธศาสตร์ชาติของเรา อะไรที่สำคัญ อะไรที่ร่วมมือ ทุกพรรคการเมือง หรือทุกรัฐบาลต้องเดินหน้าต่อไป ก็คงต้องทำทั้ง 2 ด้าน ทั้งภายใน และภายนอก และเราต้องปรับตัวเข้าสู่โลกแห่งเทคโนโลยีดิจิตัลได้อย่างยั่งยืน มีความสมดุล และเป็นมิตรสิ่งแวดล้อม และเป็นดิจิตัลที่สร้างสรรค์ ไม่ใช่ไว้ทำลายกัน เราต้องประยุกต์หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงให้เหมาะสม ทุกอย่างต้องประยุกต์หมด เพราะท่านทรงวางไว้เพื่อคนทุกคน ทุกกลุ่ม ทุกฝ่าย และในทุกกิจการ ไม่ใช่เฉพาะภาคเกษตรอย่างเดียว
นอกจากนี้ ผมต้องเร่งเสริมสร้างความร่วมมือทางการค้าการลงทุน การเงิน และการสร้างความมั่นคงในภูมิภาคไปด้วย เพื่อจะขยายตลาดให้ผู้ผลิตไทย คือต่างคนต้องต่างตอบแทนกัน ผมก็พูดกับทุกประเทศ ไม่ใช่ว่าเขาขายเราได้อย่างเดียว เราต้องไปขายเขาให้ได้ แต่เราต้องปรับกฎระเบียบกติกา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของกฎหมาย ภาษี สิทธิประโยชน์ การข้ามแดน การขนส่ง ระบบลอจิสติกส์ ต่างๆเหล่านี้ แม้กระทั่งในการค้าขายออนไลน์ ต้องสอดคล้องกันให้ได้ ซึ่งจะได้ช่วยสร้างงาน สร้างรายได้ และยกระดับความเป็นอยู่ให้กับพี่น้องประชาชนได้มากยิ่งขึ้นทุกสาขาอาชีพ และทุกกลุ่ม มีการอำนวยความสะดวกให้กับธุรกิจ ทั้งใหญ่ กลาง เล็ก ทั้งในประเทศ และต่างประเทศ ไม่ใช่เราส่งต่างประเทศอย่างเดียว เพราะกติกาเดียว คนไทยลงทุนก็ใช้กติกานี้ สิทธิประโยชน์ ทั้งทางภาษี และไม่ใช่ภาษี เพื่อจะได้เข้าถึงโอกาสได้อย่างเท่าเทียมมากยิ่งขึ้น เกิดการขับเคลื่อนเป็นรูปธรรม เกิดขึ้นได้จริง
ผมขอยกตัวอย่างในเรื่องการขยายความร่วมมือในภูมิภาคด้วยการใช้ประโยชน์จากการพัฒนาทางเทคโนโลยี ในการสร้างโอกาส เพิ่มประสิทธิภาพ และลดต้นทุน ทั้งนี้ เพื่อจะขับเคลื่อนให้ประเทศไทย และภูมิภาคนั้นก้าวเข้าสู่สังคมดิจิตัล และสนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจดิจิตัลได้อย่างเต็มที่
อาทิ ความร่วมมือของภาครัฐ ระหว่างธนาคารแห่งประเทศไทย และธนาคารกลางสิงคโปร์ ในการพัฒนาความเชื่อมโยงของระบบชำระเงินที่ทันสมัยของทั้ง 2 ประเทศ ของเราอาจจะเริ่มมาก่อนด้วยซ้ำไป ระบบพร้อมเพย์ ที่ผมเคยกล่าวถึงไปแล้วก่อนหน้า และระบบที่คล้ายกันของสิงคโปร์ ที่มีชื่อว่า Paynow มีวัตถุประสงค์เพื่อให้เกิดการโอนเงิน ระหว่างประชาชนใน 2ประเทศ สามารถกระทำได้ผ่านเทคโนโลยีบนโทรศัพท์มือถือได้อย่างสะดวกและปลอดภัย เน้นว่าต้องปลอดภัยด้วย ซึ่งทั้ง 2 ธนาคาร ก็จะได้ศึกษาแนวทางร่วมกัน นำไปสู่การปฏิบัติที่เหมาะสม และตอบโจทย์ความต้องการของทั้ง 2 ประเทศ ระยะต่อไปให้ได้ด้วย ก็คงต้องขยายไปทั่วภูมิภาคกับประเทศอื่นด้วย ในอนาคต
2. ความร่วมมือระหว่างภาครัฐของไทยกับบริษัทเอกชนยักษ์ใหญ่ของจีน เพื่อส่งเสริมให้ไทยมีบทบาทเป็นศูนย์กลางกระจายสินค้าไปยังภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เชื่อมโยงการขนส่ง และเชื่อมโยงห่วงโซ่การผลิตเข้าด้วยกัน ผ่านดิจิตัล อีโคซิสเต็ม ครบวงจรทั้ง อี คอมเมิร์ซ อี โลจิสติกส์ อี ไฟแนนซ์ และโครงสร้างพื้นฐานด้านการสื่อสาร เทคโนโลยีสารสนเทศ รัฐบลนี้พยายามผลักดันให้มีความพร้อมเพื่อจะยกระดับการค้าออนไลน์ของเรา อันจะเป็นการสร้างโอกาสทางการค้าขาย และการเข้าถึงตลาด ทั้งภายในประเทศ และระหว่างประเทศ รวมทั้งให้มีโอกาสด้านการศึกษาความรู้ การถ่ายทอดเทคโนโลยีสมัยใหม่ ด้วย ก็จะเป็นการเปิดประตูโอกาสของชุมชนต่างๆทั่วประเทศ เปิดสมอง เปิดปัญญา ไปสู่สายตาชาวโลกให้ทั่วถึงมากยิ่งขึ้น และเราก็จะช่วยให้สินค้าโอท็อป สินค้าจีไอ เอสเอ็มอี ไมโครเอสเอ็มอี และสตาร์ทอัป ของเรา มีโอกาสในการขยายตลาด สร้างรายได้
นอกจากนี้ การพัฒนาดังกล่าวจะช่วยให้ผู้ผลิตของไทย สามารถจะเข้าถึงข้อมูลความต้องการ ของตลาดนอกประเทศได้มากขึ้น ไม่เพียงประชากรในอาเซียนกว่า 600 ล้านคน แต่รวมถึงประชากรในประเทศจีนกว่า 1,300 ล้านคน และประชากรทั่วโลกอีกด้วย และมีอินเดีย ในโลกใบนี้มีประเทศที่มีพลเมืองมาก ก็เป็นตลาดใหญ่ของเรา จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการวางแผนการผลิต รวมถึงการออกแบบสินค้า และผลิตภัณฑ์ที่ตรงกับความต้องการในตลาด แต่ละแห่งให้ดีขึ้น และมีจำนวนมากยิ่งขึ้นตามที่กล่าวมาแล้ว สิ่งหนึ่งที่รัฐบาลจะต้องเร่งรัดให้เกิดความเชื่อมโยง ได้แก่ ระบบออนไลน์ของเรา อาทิ โครงการเน็ตประชารัฐ ระบบเครือข่ายระหว่างประเทศจะต้องมีความสมบูรณ์มากยิ่งขึ้นและต่อเนื่อง สิ่งสำคัญก็คือมีความสามารถในการปรับตัว ปรับกลยุทธ์ ให้สอดคล้องรองรับระบบใหม่ๆ เหล่านี้ กฎหมายก็หลายตัว
ที่ผมได้กล่าวไปแล้ว หลายอย่างเดินหน้าได้ หลายอย่างก็ติดขัด อุปสรรคบางประการ เราต้องช่วยกัน จะได้ไปอย่างราบรื่น ทุกคนก็จะได้รับประโยชน์สูงสุด ไม่เช่นนั้นจะไปอยู่ที่ บางคนบอกอยู่กับคนรายได้มากเป็นส่วนใหญ่ อย่าลืมว่า คนของเราก็อยู่ในห่วงโซ่ของคนทั้งหมด อยู่ในห่วงโซ่การประกอบการเยอะแยะ ใน 1 กิจกรรม ของเรามี SMEs ประมาณ เกือบ 3 ล้านราย และใน 3 ล้านรายก็มีหลายกิจกรรม ภาคการเกษตร อุตสาหกรรม การท่องเที่ยว บริการ
ฉะนั้น ในแต่ละกิจกรรม จะมีคนอยู่ในห่วงโซ่ 10 ล้านคน ที่จะมีประโยชน์จากการหมุนของห่วงโซ่เหล่านี้ สิ่งที่เราต้องอธิบายให้คนเข้าใจ ถ้าห่วงโซ่ใหญ่เกิดไม่ได้จะได้ประโยชน์ได้อย่างไร ที่ผ่านมา เรามักจะไปส่งเสริมข้างล่างอย่างเดียว อาจจะด้วยการเป็นประชาธิปไตย ซึ่งไปดูคนรายได้น้อยแต่อย่าลืมว่าต้องส่งเสริมคนข้างบนด้วย สนับสนุนคนข้างล่างอย่างเดียวก็ไม่ได้เพราะไม่รู้จะไปออกช่องไหน เอาทุกคนมาอยู่ในกติกาเดียวกัน ดูแลคนรายได้น้อยให้มากขึ้น ให้เขาได้ประโยชน์อย่างแท้จริง โดยไม่หวังสิ่งตอบแทนจากเขา นี่คือสิ่งที่เราต้องช่วยกัน เราต้องพัฒนาตนเองด้วย
พี่น้องประชาชนที่รัก ภาพความเชื่อมโยงของประเทศไทยกับอาเซียน กับประชาคมโลก โดยเฉพาะชาติมหาอำนาจต่างๆ ที่ผมที่ผมได้กล่าวไปแล้ว จะมีความสำคัญต่อเราในทุกมิติ ระยะต่อไปนี้ ทั้งด้านการเมือง ความมั่นคง เศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม และสิ่งแวดล้อมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ทั้งนี้ จาก 2 ตัวอย่าง ของความร่วมมือที่กล่าวไปแล้วนั้น พี่น้องประชาชนคงได้รับรู้ว่า ผมให้ความสำคัญกับตลาด ทั้งในประเทศและต่างประเทศ มีความเชื่อมโยงกันอยู่ ส่งผลกระทบโดยตรง ต่อปากท้อง ความเป็นอยู่ต่อพวกเราทุกคน ไม่ว่าจะทางตรงหรือทางอ้อม คนจน คนรวยก็ตาม เพราะตลาดมีจุดเริ่มต้นของการมีปฏิสัมพันธ์กับทุกคน มีการค้าขาย มีการแลกเปลี่ยนของชุมชน ไปจนถึงระบบเศรษฐกิจฐานรากประเทศที่กระจายตัวอยู่ทั่วภูมิภาค ผมจึงมีนโยบายให้ตั้งตลาดประชารัฐ ตลาดของประชาชน เพื่อส่งเสริมให้พี่น้องประชาชน ผู้ประกอบการ ทุกกลุ่ม ทุกสินค้า ทั้งสินค้าการเกษตร โอท็อป เอสเอ็มอี ไมโครเอสเอ็มอี วิสาหกิจชุมชน สหกรณ์ ร้านค้า หาบเร่ แผงลอย ได้มีพื้นที่ค้าขายมากขึ้น รวมทั้งช่วยเหลือผู้ประกอบการที่เดือดร้อน จากการไม่มีสถานที่ค้าขาย จากการจัดระเบียบ ลดต้นทุนค่าเช่าแผง ค่าตลาด ช่วยลดค่าครองชีพของคนในชุมชนในทางอ้อมอีกด้วย
ผมได้มีการกำหนดพื้นที่ตลาดใหม่ หรือขยายพื้นที่ตลาดเดิมอยู่แล้ว ใช้ความร่วมมือในรูปแบบประชารัฐ ตามที่กล่าวไปแล้วเมื่อวันศุกร์ที่ 3 พฤศจิกายนที่ผ่านมา หลังจากการเปิดให้ลงทะเบียนตามโครงการตลาดประชารัฐ มีประชาชนจำนวนมาก มาลงทะเบียน จองพื้นที่ตลาดประชารัฐแล้วทั่วประเทศ นับตั้งแต่วันที่ 14 พฤศจิกายน 2560 ราว 30,000 ราย โดยเฉพาะตลาดประชารัฐคนไทยยิ้มได้ รองรับได้ 20,000 ราย จองไปแล้วกว่า 17,000 ราย และตลาดประชารัฐท้องถิ่นถูกใจกว่า 3,800 แห่ง จองไปแล้วกว่า 13,000 ราย จากทั้งหมด 40,000 รายเป็นต้น
ซึ่งยังคงเปิดให้ลงทะเบียนอย่างต่อเนื่อง ก็ทดลองเข้าไป ไปดูสิไปได้มั้ย ไหวมั้ย เราจะเปิดลงทะเบียนต่อเนื่องถึงสิ้นเดือนพฤศจิกายนนี้ ไม่เว้นวันหยุดราชการ อย่าบอกว่าไม่ทราบ ผมพูด 3 - 4 ครั้งแล้ว ไปดูเถอะครับว่าเป็นอย่างไร เข้าไปก่อน ไปดู แล้วก็ศึกษา ว่า เราปรับตัวให้เข้ากับตรงนี้ได้มั้ย ถ้าเราปรับตัวสินค้าเราดีเราต้องขายได้ มันต้องแข่งขันกันหมด ทำแบบเดิมๆบางทีมันก็ขายไม่ออก ซ้ำๆมากๆก็ขายไม่ออก มันต้องมีของตัวเอง มีแบรนด์เป็นของตัวเอง มีจุดขาย มีสตอร์รี่ของตัวเอง สามารถไปลงทะเบียนเพิ่มได้ ณ ศูนย์ดำรงธรรมจังหวัด และอำเภอ ทั่วประเทศ ศูนย์เรามีทั่วประเทศแล้ว ถ้าบอกไม่รู้จะไปไหนก็ไม่รู้จะว่าไง
ในกรุงเทพมหานครเราจะเปิดให้ลงทะเบียนหน้าสำนักงานเขตทั้ง 50 เขต ทั้งนี้ รายละเอียดคุณสมบัติของผู้ลงทะเบียน เงื่อนไขตลาดแต่ละประเภท และข้อมูลเกี่ยวกับตลาดประชารัฐ สามารถจะศึกษาหาข้อมูลผ่านตามช่องทางต่างๆ
พี่น้องประชาชนที่รัก สำหรับกรณีการบริหารจัดการน้ำ ผมอยากจะให้ข้อมูลเสริม เพื่อให้เกิดความเข้าใจร่วมกัน ร่วมมือกัน ไม่อยากให้มีการกล่าวโทษกันหรือเป็นประเด็นทางการเมือง เราต้องยอมรับร่วมกัน ว่า ปีนี้ปริมาณน้ำค่อนข้างมาก ส่วนหนึ่งเกิดมาจากจำนวนพายุดีเปรสชั่นเข้ามาทั้งเล็กและใหญ่ ประมาณ 20 ลูก เนื่องจากบางช่วงรอยต่อของปรากฏการณ์ ลานีญา และ เอลนีโญ ทำให้สภาพอากาศแปรปรวน คาดเดายาก แม้กระทั่งภาพถ่ายดาวเทียมที่มีอยู่ก็ตาม บางทีก็ไม่ทันต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจะเห็นได้ว่าบางทีเราประกาศล่วงหน้า แล้วมันไม่ใช่ ก็เลยกลายเป็นว่า ข้อมูลไม่ตรง เห็นใจกันบ้าง
บ้านเรือน โดยเฉพาะในแถบพื้นที่ที่มีน้ำท่วมขัง พื้นที่ลุ่มต่ำ เช่น ในเขตอำเภอโผงเผง บางบาล บางระกำ อยุธยา หรือชัยนาท ที่เคยมีใต้ถุนสูง เป็นภูมิปัญญาดั้งเดิมของชาวบ้าน ที่สอดคล้องกับวิถีชาวบ้าน หน้าน้ำ น้ำก็ขังท่วม เขาอยู่ชั้นบน แต่วันนี้บ้านเรือนส่วนใหญ่กลับไม่มีใต้ถุน เพราะถูกดัดแปลงให้มีพื้นที่ใช้สอย รองรับจำนวนสมาชิกในครอบครัวที่มากขึ้น บางครั้งก็เป็นคนที่มาจากจังหวัดอื่นๆ ก็เข้าไปอยู่อาศัยในพื้นที่มีปัญหาจากน้ำท่วมน้ำขัง และไม่เคยชินฉะนั้นเลยทำให้รู้สึกว่าเราได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมมากกว่าแต่ก่อน
แต่ทั้งนี้ ได้รับพระมหากรุณาธิคุณจาก ในหลวง ร.๙ ได้พระราชทานของขวัญเป็นเขื่อนภูมิพล เขื่อนสิริกิติ์ เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ ให้แก่ประชาชนชาวไทยมายาวนาน อีกทั้งพระราชทานแนวคิด โครงการแก้มลิง การผันน้ำในรูปแบบต่างๆ เพื่อจะป้องกันปัญหา และบรรเทาผลกระทบในกรณีที่มีปริมาณน้ำฝน และพายุจำนวนมากได้ แต่อย่างไรก็ตาม กรณีที่ ปริมาณน้ำเกินศักยภาพของระบบบบริหารจัดการน้ำที่เรามีอยู่ เหมือนที่เราเคยประสบมาก่อน เช่นปี 2554 และปีนี้ก็เช่นกัน เราก็จำเป็นที่จะได้รับความร่วมมือจากทุกฝ่าย ทั้งภาครัฐ และเอกชน ในการช่วยแก้ปัญหาน้ำท่วม และดูแลประชาชนที่ได้รับผลกระทบอย่างเต็มที่ รวมถึงพี่น้องประชาชนต้องพยายามปรับตัว ให้รองรับสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง อะไรจะเกิดขึ้นอีกก็ไม่ทราบ เพราะในอนาคตเป็นธรรมชาติ
ผมต้องขอขอบคุณทุกท่าน ที่มีส่วนร่วมกันเข้าใจกัน ในระยะยาว รัฐบาลก็ได้มีการวางแผนให้มีการบริหารจัดการน้ำ ทั้งระบบ อย่างบูรณาการเพื่อให้พื้นที่ต่างๆ สามารถรองรับภัยพิบัติได้ดีขึ้น และทันท่วงที ซึ่งมีการลงทุนวางระบบ ทั้งด้านชลประทาน และระบบขนส่ง ให้สอดคล้องกัน เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อกัน การสัญจรไปมา ถนนหนทางต่างๆ จะทำยังไง ต้องยกระดับหรือไม่ บนเส้นทางใดๆก็ตามที่กีดขวางทางน้ำธรรมชาติ ต้องไปแก้ไขทั้งหมด มีเป็น 100 แห่ง ต้องใช้เวลาในการแก้ไข งบประมาณก็มาก แต่เราต้องทำเพื่อให้การสัญจรของพี่น้องประชาชน ไปมาได้สะดวก
สำหรับความคิดที่รัฐบาลนี้กำลังคิดอยู่คือ การสร้างคลองส่งน้ำ หรือทำช่องทางระบายน้ำ ไปพร้อมๆ กับการสร้างถนน ทางรถไฟ เหล่านี้ เป็นต้น เพราะบางครั้งเราต้องมีการเวนคืนพื้นที่เพิ่มเติม อาจต้องทำทั้งสองเส้นทาง เรื่องน้ำ และเรื่องถนน มันเป็นไปได้ไหม ที่จะทำถนน และทางระบายน้ำหรือคลองส่งน้ำไปด้วย โดยเวนคืนพื้นที่เส้นทางเดียว มันก็จะได้เดือดร้อนน้อยลง กำลังให้กระทรวงคมนาคมไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงเกษตร มันจะทำให้เกิดผลกระทบน้อยที่สุด ผมไม่อยากให้กระทบใครทั้งสิ้น แต่ไม่รู้จะทำยังไงเหมือนกัน มันต้องผ่านที่ดินของเอกชนเยอะ เราทุกคนรับทราบดีถึงความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนในทุกพื้นที่
รัฐบาลนี้ ไม่เคยทอดทิ้ง ทุกวันทุกคืน ก็นึกถึงพวกเรา ไม่เคยนิ่งดูดาย คิดใหม่ ทำใหม่ทุกวัน แต่มันก็ไม่ง่ายนักที่จะทำทุกอย่างให้มันเร็วขึ้นทันใจตลอดเวลา ทุกเรื่องมันเป็นไปไม่ได้ ก็ต้องอดทนร่วมกัน ผมก็ต้องอดทน ท่านก็ต้องอดทน ท่านเดือดร้อน เราก็ไปช่วยเหลือ ให้ผ่านพ้นเวลายากลำบากไปให้ได้ก่อน ความเข้มแข็งก็จะตามมา
ผมก็ไม่อยากจะต้องใช้เงินในการเยียวยามากทุกปีๆ มันสูญเปล่า เพราะว่าแทนที่เราจะเอาเงินไปทำอย่างอื่น เอาไปดูแลพี่น้องประชาชนอย่างอื่น มันต้องมาเสียไปกับการเยียวยามันก็ไม่พอเพียงกับความเสียหายที่เกิดขึ้น เราต้องคิดแบบนี้ เพราะฉะนั้นเราก็มีความจำเป็นต้องมีการบริหารจัดการน้ำ อย่างมีวิสัยทัศน์ และยุทธศาสตร์ เพื่อให้เกิดความยั่งยืน เช่นเดียวกับทุกๆ เรื่องที่รัฐบาลนี้ กำลังพยายามดำเนินการอยู่
เรื่องการระบายน้ำในพื้นที่ภาคกลาง โดยเฉพาะแก้มลิงซึ่งยังมีน้ำขังท่วมอยู่ผมก็ได้สั่งการไปแล้ว ให้กระทรวงเกษตร กระทรวงมหาดไทย คสช. กองทัพต่างๆ ไปช่วยกัน วางแผนกันว่า จะจูงน้ำเหล่านี้ออกไปได้อย่างไร หรือค่อยๆ ระบายพื้นที่ส่วนใหญ่นี้ออกไป ค่อยๆทยอยน้ำออกไป เข้าไปขังเก็บไว้ในพื้นที่แก้มลิงขนาดเล็กไปเรื่อยๆ หรือไปตามถนนทั่วไป ไม่ใช่ระบายออกทะเลหมดมันก็ วันหน้าก็ไม่มีน้ำอีกเพราะฉะนั้นทุกคนก็ต้องเสียสละที่ร่วมกัน อาจจะทำคูคลอง ไม่ต้องทำขนาดใหญ่ เหมือนเป็นคลองส่งน้ำธรรมชาติ แล้วก็ลากน้ำตรงนี้ ไปตรงโน้นตรงนี้ ทั่วไปให้เหมือนรังผึ้ง แบบเตาขนมครกเล็กๆ มันก็จะมีที่เก็บน้ำมีน้ำเยอะแยะไปเราก็ไม่เดือดร้อนวันหน้า
แล้ววันหน้าถ้าฝนตกลงมา ก็อาจมีการท่วมขัง ใช้เวลาให้น้อยลง ต้องเก็บน้ำให้ได้ด้วย อันนี้สั่งการให้หน่วยงานที่ผมกล่าวไปแล้ว และอื่นๆไปพิจารณาเรื่องนี้โดยด่วน ไม่ใช่ทำโครงการใหญ่แต่เพียงอย่างเดียว โครงการเล็กอย่างนี้มันต้องทำและทำให้เร็วด้วย รีบระบายน้ำออกให้เขาระหว่างนี้ก็ต้องดูแลความเดือดร้อนของเขาด้วย เขาจะอยู่กินกันอย่างไรทังคน ทั้งสัตว์
สุดท้ายนี้ ในวันที่ 20 พฤศจิกายนของทุกปี เป็น วันเด็กสากล และ เป็นวันครบรอบอนุสัญญาว่าด้วย สิทธิเด็กสากล อีกด้วยซึ่งประเทศไทย ก็เป็นหนึ่งในประเทศที่ได้ให้สัตยาบันเอาไว้ว่าจะรับประกันสิทธิขั้นพื้นฐานของเด็กใน 4 ด้าน คือ
1. สิทธิในการอยู่รอด 2.สิทธิที่จะได้รับการปกป้องคุ้มครอง 3. สิทธิที่จะได้รับการพัฒนา และ 4. สิทธิในการมีส่วนร่วม ก็ขอย้ำเตือนให้ผู้ใหญ่ทุกคน พ่อแม่ ผู้ปกครอง ได้ตระหนัก และ ร่วมมือกันพัฒนาเยาวชนของเรา ซึ่งเป็นทรัพยากรที่สำคัญที่สุดของประเทศ
ผมเห็นว่ากิจกรรมดีๆ ในครอบครัวจะมีส่วนสำคัญในการพัฒนาด้านความรู้ การใช้ชีวิต และจิตใจ ของลูกหลานของเรา ได้อย่างมาก ช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์นี้ ผมมีกิจกรรมที่น่าสนใจมาเสนอ ได้แก่
1. มหกรรมสินค้าเชิงปัญญา 2560 จะนำเสนอผลิตภัณฑ์แปลงโฉมภูมิปัญญาดั้งเดิม เพื่อตอบสนองชีวิตของคนในยุคปัจจุบันเป็นการพัฒนาเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ทั้งด้านคุณค่าและมูลค่า ตามนโยบายไทยแลนด์ 4.0 ของรัฐบาล
2. กิจกรรมครั้งสำคัญระดับชาติ มาตรฐานระดับโลก คือ การสวนสนามทางเรือนานาชาติ จาก 40 ประเทศ และ การจัดการแข่งขันเครื่องบิน Air Race One World CupThailand 2017 ซึ่งหาชมได้ยาก เป็นประสบการณ์ใหม่ที่ดี และ เพิ่มเติมวิสัยทัศน์ให้กับลูกหลานของเรา อีกด้วย ไม่เคยจัดในประเทศไทยมาก่อน ก็ขอเชิญชวนให้ไปเยี่ยมชมในกิจกรรมดังกล่าวด้วย หรืออาจจะเป็นกิจกรรมอื่นๆ ที่ผมไม่ได้กล่าวถึงก็ได้ วันนี้มีการจัดงานมากมาย ปีนี้ก็เป็นปีการท่องเที่ยวด้วย ไปช่วยกันดูด้วยเที่ยวในประเทศไทย
วันนี้ก็มีปริมาณนักท่องเที่ยวมากขึ้น มีการท่องเที่ยวไปถึงชุมชน ไปถึงพื้นที่การท่องเที่ยวในไร่นา สวนผสม ต่างๆ เหล่านี้ ผมว่ามันจะเป็นรายได้ ไปสู่ท้องถิ่น ถึงครัวเรือนด้วย ช่วยกันทำให้มันเข้มแข็งเถอะ เป้าหมายก็คือ การใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ร่วมกันของคนในครอบครัว และ กระชับความสัมพันธ์ในครอบครัวให้ใกล้ชิดกันมากยิ่งขึ้น
ขอบคุณครับขอให้ทุกคน มีความสุข ในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์