xs
xsm
sm
md
lg

นายกฯ ชง 3 ข้อเอเปก ปฏิรูปโครงสร้าง เชื่อมโยงทุกมิติ เรียกความเชื่อมั่นการค้าเสรี

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


นายกรัฐมนตรีประชุมเอเปก เสนอ 3 ประเด็นเพื่อรักษาแรงผลักดันในเวทีระหว่างประเทศ แนะปฏิรูปโครงสร้างภายในเพื่อสร้างความแข็งแกร่งของแต่ละเขตเศรษฐกิจ เชื่อมโยงอย่างรอบด้านในทุกมิติ จี้แสดงบทบาทนำในการเรียกความเชื่อมั่นต่อระบอบการค้าเสรี หวังเห็นความคืบหน้าในการเจรจาการประชุมระดับรัฐมนตรีภายใต้กรอบองค์การการค้าโลก ครั้งที่ 11

วันนี้ (11 พ.ย.) ที่ห้องประชุมผู้นำเอเปก โรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัล นครดานัง สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม เมื่อเวลา 13.45 น. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เข้าร่วมการประชุมผู้นำเอเปก ช่วงที่ 2 (Retreat II) ภายใต้หัวข้อพลังขับเคลื่อนใหม่ทางการค้า การลงทุน และการเชื่อมโยงในภูมิภาค (New Drivers for Regional Trade, Investment and Connectivity) โดย พล.ท.วีรชน สุคนธปฏิภาค รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวภายหลังการประชุมว่า นายกรัฐมนตรีกล่าวชื่นชมความพยายามของเอเปกที่ร่วมผนึกกำลังเพื่อรับมือกับสิ่งท้าทายใหม่ๆ โดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี เพราะ “นวัตกรรม” และ “เทคโนโลยีดิจิตอล” ได้กลายมาเป็นพลังขับเคลื่อนที่สำคัญของระบบเศรษฐกิจในยุคปัจจุบัน โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีได้นำเสนอมุมมองของไทยใน 3 ประเด็นที่เอเปกควรให้ความสำคัญและดำเนินการอย่างต่อเนื่องเพื่อรักษาแรงผลักดัน (momentum) ของเอเปคในเวทีระหว่างประเทศในห้วงเวลาแห่งความท้าทายนี้

ประการแรก การปฏิรูปโครงสร้างภายในเพื่อสร้างความแข็งแกร่งของแต่ละเขตเศรษฐกิจควบคู่ไปกับการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการเตรียมตัวเข้าสู่ยุคดิจิตอล ไทยเล็งเห็นถึงความสำคัญในข้อนี้ โดยรัฐบาลไทยมีนโยบายประเทศไทย 4.0 เพื่อปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจผ่านการสร้างมูลค่าสินค้าและการผลิตด้วยนวัตกรรม เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลก พร้อมกับมุ่งเน้นการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ภายใต้แผนปฏิรูปประเทศด้วย ในขณะเดียวกัน การอำนวยความสะดวกทางการค้าและการลงทุนมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้เติบโตมาโดยตลอด ซึ่งการผลักดัน Ease of Doing Business ในเอเปก สะท้อนพัฒนาการที่ก้าวหน้าของเอเปกในเรื่องนี้ได้ดี

นายกรัฐมนตรีกล่าวชื่นชมการจัดทำกรอบความร่วมมือเอเปกว่าด้วยการอำนวยความสะดวก E-Commerce ข้ามพรมแดน (APEC Cross Border E-Commerce Facilitation Framework) ซึ่ง E-Commerce ได้กลายมาเป็นเครื่องมือสำคัญทางการค้าให้ผู้ประกอบการทุกขนาด โดยเฉพาะวิสาหกิจขนาดกลาง ขนาดย่อม และรายย่อย (MSMEs) และสตาร์ทอัพ ให้สามารถเข้าถึงตลาดโลกได้ง่ายขึ้นด้วยต้นทุนที่ต่ำและสามารถมีส่วนร่วมในห่วงโซ่อุปทานของโลกได้โดยตรง ซึ่งสำคัญอย่างยิ่งในการกระตุ้นเศรษฐกิจระดับฐานราก และลดความเหลื่อมล้ำ

ประการที่ 2 ความเชื่อมโยงอย่างรอบด้านในทุกมิติเป็นปัจจัยสำคัญต่อการเจริญเติบโตที่ครอบคลุม และยั่งยืน นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า การเปลี่ยนแปลงไปสู่ยุคดิจิตอล ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนในวงกว้าง ไทยจึงได้เตรียมความพร้อมในด้านความเชื่อมโยงทางดิจิตอล โดยได้ยกระดับโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคมผ่านโครงการเน็ตประชารัฐด้วยการขยายอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงในหมู่บ้านทั่วประเทศในปีนี้ พร้อมลงทุนสร้างเคเบิลใต้น้ำระหว่างประเทศระบบ Asia-Africa-Euroupe-1 (AAE-1) ความยาว 25,000 กิโลเมตร เพื่อพัฒนาโครงข่ายระหว่างประเทศเชื่อมไทยสู่ทั่วโลก ไทยขอยืนยันความพร้อมที่จะร่วมมือกับสมาชิกเอเปกในการส่งเสริมความเชื่อมโยงทางดิจิตอลเพื่อให้แน่ใจว่าประชาชนทุกภาคส่วนสามารถเข้าถึงเทคโนโลยีดิจิตอลและสามารถใช้ประโยชน์ได้อย่างเต็มศักยภาพ

นอกจากนี้ ไทยได้เร่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางกายภาพภายในประเทศทั้งทางบก น้ำ และอากาศ เพื่อเชื่อมโยงการคมนาคมขนส่งในภูมิภาค รวมทั้งสนับสนุนการเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจภายใต้นโยบาย Thailand+1 เพื่อกระตุ้นและดึงดูดการลงทุนจากนักลงทุนต่างชาติให้ขยายไปยังเพื่อนบ้านในภูมิภาค ซึ่งจะเป็นไปอย่างราบรื่นก็ต้องอาศัยปัจจัยสนับสนุนการเชื่อมโยงด้านกฎระเบียบซึ่งไทยได้เรียนรู้จากเอเปก เช่น การพัฒนา single window และการกำหนดมาตรฐานรับรองสินค้าให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน

สิ่งที่ขาดไม่ได้อีกประการหนึ่ง คือ การเชื่อมโยงระหว่างประชาชนสู่ประชาชนในเอเปก รวมถึงความเป็นไปได้ที่จะต่อยอดโครงการบัตรเดินทางสำหรับนักธุรกิจเอเปก (APEC Business Travel Card หรือ ABTC) โดยพัฒนาบัตรในลักษณะเดียวกันให้แก่กลุ่มนักศึกษาและนักวิจัย ซึ่งสอดรับกับแผนแม่บทความเชื่อมโยงในเอเปค (APEC Connectivity Blueprint 2015-2025) ที่มุ่งให้เกิดการเชื่อมโยงในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกอย่างแท้จริงในปี 2568 (ค.ศ. 2025)

ประการที่ 3 ท่ามกลางกระแสการปกป้องทางการค้าและการต่อต้านโลกาภิวัตน์ ไทยเห็นว่าเอเปกควรแสดงบทบาทนำในการเรียกความเชื่อมั่นต่อระบอบการค้าเสรี สื่อสารผลประโยชน์ของการค้าเสรีให้แก่สาธารณชนอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้อง หนึ่งในพัฒนาการของเอเปคที่นายกรัฐมนตรีเชื่อว่าหลายฝ่ายกำลังจับตามองคือการจัดตั้งเขตการค้าเสรีเอเชีย-แปซิฟิก หรือ FTAAP ซึ่งนายกรัฐมนตรีเห็นว่า “เป็นสิ่งท้าทายของภูมิภาค” ในการพัฒนาต้นแบบความตกลงการจัดตั้งเขตการค้าเสรีในภูมิภาคที่มีคุณภาพ และครอบคลุม อีกทั้งเป็นการต่อยอดจาก FTAs และ RTAs ที่มีอยู่แล้วพัฒนาให้ก้าวหน้าและมีคุณภาพยิ่งๆ ขึ้นไป

นายกรัฐมนตรีกล่าวเพิ่มเติมว่า ไทยขอร่วมกับสมาชิกเอเปกอื่นๆ ที่หวังจะเห็นความคืบหน้าในการเจรจาการประชุมระดับรัฐมนตรีภายใต้กรอบองค์การการค้าโลก ครั้งที่ 11 และยินดีที่ความตกลงการอำนวยความสะดวกทางการค้า (Trade Facilitation Agreement) ภายใต้กรอบองค์การการค้าโลกมีผลบังคับใช้ และขอสนับสนุนให้บรรดาเขตเศรษฐกิจต่างๆ นำความตกลงนี้ไปปฏิบัติเพื่อให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม อย่างไรก็ดี การดำเนินความร่วมมือใดๆ ต้องคำนึงถึงความแตกต่างของระดับการพัฒนาของแต่ละเขตเศรษฐกิจด้วย

ในช่วงท้าย นายกรัฐมนตรีกล่าวแสดงความยินดีที่บรรดาผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปกมีวิสัยทัศน์อันยาวไกล และได้เริ่มคิดวางแผนแนวทางกำหนดวิสัยทัศน์เอเปกลังปี 2563 (ค.ศ. 2020) ซึ่งไทยเห็นว่าควรเน้นการส่งเสริมการค้าเสรีและธรรมาภิบาลโลกที่เป็นธรรม ควบคู่ไปกับการพัฒนาที่มีคุณภาพและครอบคลุม เพื่อให้สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนเพื่อประโยชน์สุขของประชาชนในภูมิภาคและโลกต่อไป



กำลังโหลดความคิดเห็น