“สุริยะใส” ชี้งานพระราชทานเพลิงสำเร็จยิ่งใหญ่ สะท้อนพลังสามัคคีคนไทยทุกภาคส่วน แนะต่อยอดร่วมมือกันน้อมนำขับเคลื่อนศาสตร์พระราชาอย่างจริงจัง
วันนี้ (29 ต.ค.) นายสุริยะใส กตะศิลา รองคณบดีวิทยาลัยนวัตกรรมสังคม ม.รังสิต และ ผอ.สถาบันปฏิรูปประเทศไทย (สปท.) แสดงความเห็นว่าในวาระที่คนไทยกำลังตกอยู่ในความโศกเศร้าจากการเสด็จสู่สวรรคาลัยของในหลวงรัชกาลที่ ๙ แม้เราจะตกอยู่ในความสูญเสีย แต่ด้านหนึ่งเราได้แสดงให้ชาวโลกเห็นถึงอารยธรรมที่เป็นรากเหง้าของสังคมได้อย่างเกียงไกร จากงานพระราชทานเพลิงพระบรมศพตามโบราณราชประเพณี ซึ่งโลกได้เห็นความสมัครสมานสามัคคีของคนไทยทั้งชาติ
เรื่องที่ท้าทายจากนี้ต่อไป คือ สังคมไทยจะร่วมมือกันน้อมนำศาสตร์พระราชาผลักดันให้เป็นรูปธรรม และขยายผลไปทั้งประเทศได้อย่างไร ศาสตร์พระราชาจะต้องไม่อยู่แค่ในความทรงจำ แต่ทุกภาคส่วนทั้งรัฐราชการ ธุรกิจเอกชน และภาคประชาสังคม ควรแปรศาสตร์พระราชาสู่การปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม เพราะศาสตร์พระราชาผ่านโครงการพระราชดำริกว่า 4,500 โครงการทั้งประเทศนั้น ได้พิสูจน์แล้วว่าเป็นคำตอบของความอยู่รอดได้ท่ามกลางความผันผวนของเศรษฐกิจสังคมโลก
ศาสตร์พระราชาถือเป็นมรดกที่มีคุณค่ามหาศาลที่ในหลวงรัชกาลที่ ๙ ทรงมอบให้คนไทยและสังคมไทยในส่วนของรัฐบาลที่ชูยุทธศาสตร์ไทยแลนด์ 4.0 ก็ต้องคำนึงถึงหลักคิดจากศาสตร์พระราชาไม่ควรให้ไทยแลนด์ 4.0 กับศาสตร์พระราชาย้อนแย้งหรือแปลกแยกกัน ในส่วนของภาคธุรกิจเอกชนก็ทบทวนทิศทางธุรกิจที่คำนึงถึงความยั่งยืน ความเป็นธรรมทางสังคมด้วย
สถาบันการศึกษาควรนำศาสตร์พระราชาไปบรรจุในหลักสูตรการเรียนการสอนอย่างจริงจัง และควรร่วมมือกับภาคประชาสังคมในการพัฒนาหรือยกระดับเศรษฐกิจฐานรากและภูมิปัญาของชุมชนให้เกิดความเข้มแข็งและเป็นต้นแบบของความอยู่รอดความพอเพียงได้ แม้แต่ฝ่ายการเมืองนักการเมืองและพรรคการเมืองก็ถึงเวลาคิดใหม่ทำใหม่จะออกนโยบายที่สอดคล้องกับศาสตร์พระราชาได้อย่างไร
อย่าลืมว่าจุดแข็งของศาสตร์พระราชาโดยเฉพาะเศรษฐกิจพอเพียง ได้เน้นย้ำให้เราอยู่กับความเป็นจริงที่เป็นทั้งจุดแข็งและจุดขายของเรา โดยเฉพาะความสามารถในด้านเกษตรกรรม ซึ่งเราไม่ต้องแข่งความเป็นมหาอำนาจในด้านอื่นๆ กับใคร เพราะเราเป็นมหาอำนาจทางด้านอาหาร เป็นครัวของโลกอยู่แล้ว เพียงแต่ที่ผ่านมาคุณค่าพวกนี้ถูกบดบังด้วยกระแสโลกาภิวัตน์ล่าเมืองขึ้นเท่านั้นเอง