เมืองไทย 360 องศา
หากพิจารณากันตามสภาพความเป็นจริงแล้ว สำหรับคำพูดของ ชาญวิทย์ เกษตรศิริ อดีตอาจารย์ก็คงไม่ได้สลักสำคัญอะไร ไม่ต่างอะไรกับ “คนแก่” ที่เลอะเลือนไปตามสภาพ และสังคมที่เปลี่ยนแปลงไปที่เป็นยุคโซเชียล ที่ทุกคนสามารถเสนอความคิดออกมาให้สังคมได้วิพากษ์วิจารณ์ ตราบใดที่ตัวเองมีสมาร์ทโฟน และเชื่อมต่อเครือข่ายอินเทอร์เน็ตได้เท่านั้น ซึ่งความเห็นแบบนี้ยังรวมไปถึงพวกที่เข้าใจว่าเป็น “นักวิชาการ” ชี้นำสังคมรายอื่นอีกด้วย
ขณะเดียวกัน จากคำพูดที่แสดงออกมาก็ได้เกิดแรงตอบโต้ที่กลับมาก็เกิดแรงกระแทกได้หนักหน่วงที่อาจเกินกว่าที่คิด เพราะยุคปัจจุบันไม่ใช่เมื่อ 20 - 30 ปีที่แล้ว ที่สังคมให้ความสำคัญกับความเห็นพวกนักวิชาการ เพราะทุกคนในสังคมต่างมีช่องทางในการนำเสนอความคิดของตัวเองได้อยู่แล้ว
คำพูดของ ชาญวิทย์ เกษตรศิริ ซึ่งก็ใช้สื่อออนไลน์นั่นแหละ ออกความเห็นกับการวิ่งการกุศลจากใต้สุดถึงเหนือสุด จาก “เบตง” จังหวัดยะลา ถึง “แม่สาย” จังหวัดเชียงราย ในโครงการ “ก้าวคนละก้าว” เพื่อรับบริจาคหาเงินซื้อเครื่องมือแพทย์ให้กับโรงพยาบาล 11 แห่งทั่วประเทศ ในทำนองว่า “ไร้ประโยชน์” และยังเป็นการเบี่ยงเบนปัญหาของรัฐบาลเผด็จการของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ได้อีกทางหนึ่งด้วย และยังเห็นว่า การทำแบบนี้ของ “ตูน บอดี้สแลม” หรือ อาทิวราห์ คงมาลัย ว่า “โง่ และต้องวิ่งไปจนตาย”
แน่นอนว่า งานนี้ได้แรงสะท้อนกลับมาอย่างแรงตามคาด หรือ “เกินคาด” ไม่ว่าจะเป็นการแชร์คำพูดที่โพสต์ออกมาต่อๆ กันไปแบบไฟลามทุ่ง จนยอดทะลุหลายหมื่นในชั่วเวลาที่ขึ้นเว็บข่าวได้เพียงไม่กี่อึดใจ มิหนำซ้ำ ยังสั่นสะเทือนไปถึงสื่อ “วอยซ์ทีวี” ของ “โอ๊ค” พานทองแท้ ชินวัตร ที่มีพิธีกรคนหนึ่ง จัดรายการแขวะการวิ่งดังกล่าวของ ตูน โจมตีการจัดงบประมาณเกี่ยวกับการสาธารณสุขของรัฐ ว่า ล้มเหลว สิ้นเปลือง และ “เหลื่อมล้ำ” โดยยกตัวอย่างคำพูดของแพทย์ที่อยู่ในฝ่ายเดียวกัน ที่เผยแพร่ภาพในห้องรับรองของแพทย์ในโรงพยาบาลแห่งหนึ่งในจังหวัดราชบุรี ที่ออกมาในทำนอง “หรูหรา” แต่กรณีนี้ก็เจอตอกกลับมาจนหน้าหงาย เพราะมี “เศรษฐินี” คนหนึ่งที่เป็นคนบริจาค ว่า เธอตั้งใจบริจาคให้เป็นแบบนี้ อยากให้ห้องรับรองแพทย์หรูหราแบบนี้ เพราะเธอเคยได้รับการรักษาอย่างดี จากแพทย์ที่นี่ จึงอยากตอบแทนเท่าที่ทำได้ ให้หมอได้พักผ่อน ผ่อนคลายบ้าง ขณะเดียวกัน ในส่วนของคนไข้ทั่วไปนั้น เธอก็ดูแลมีการบริจาคซื้อเครื่องมือแพทย์แยกไปส่วนหนึ่งแล้ว
เอาเป็นว่าทั้งสองกรณี คือ กรณีของ “ชาญวิทย์ เกษตรศิริ” ที่สะท้อนให้เห็นว่า แทนที่จะนิ่งเงียบใช้ชีวิตในบั้นปลายแบบเงียบๆ ทบทวนเรื่องราวเก่าๆ ก่อนสิ้นอายุขัยกลับไม่ทำ แต่ดันเลือกออกมา “หาเรื่อง” ให้เด็กๆ ด่าเอาแบบสาดเสียเทเสีย จนเรียกได้ว่า “เสียคนแก่” ไปเลยก็ว่าได้ เพราะการมีทัศนคติแบบนั้น หรือการออกความเห็นแบบนั้น มันก็ไม่ต่างกับการ “ไปขวางทางคนที่กำลังทำความดี” คิดดีทำดี แม้ว่าจิตใจคนยากแท้ หยั่งถึง แต่ที่ผ่านมา การกระทำของ ตูน บอดี้สแลม หรือที่แฟนคลับเรียกว่า “พี่ตูน” คนนี้จากการวิ่ง “ก้าวคนละก้าว” เมื่อครั้งโครงการจัดซื้อเครื่องมือแพทย์ให้กับโรงพยาบาลบางสะพาน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เมื่อหลายเดือนก่อน ที่สร้างกระแสชื่นชมล้นหลาม มีคนไทยเข้าร่วมบริจาคเงินจำนวนมาก มันก็เป็นเรื่องพิสูจน์ให้เห็นว่า ชาวบ้านสนับสนุน และ “ไม่ได้คิดมาก” หรือคิดเล็กคิดน้อยเรื่อยเปื่อย จนพยายามบิดเบือนให้เป็นเรื่องการเมือง เพื่อหวังโจมตีฝ่ายตรงข้ามที่ตัวเองไม่ชอบ หรือต้องการทำลาย ซึ่งไม่ต่างจากทัศนคติคับแคบ ที่พอมีอะไรจะหยิบฉวยได้ก็หยิบฉวยแบบไม่ดูตามม้าตาเรือ
กรณีที่เกิดขึ้น “ตูน บอดี้สแลม” ได้ให้ความเห็นต่อเสียงวิพากษ์วิจารณ์ดังกล่าว ว่า เป็นสิทธิส่วนบุคคล เราบังคับให้ใครเห็นด้วยทั้งหมดไม่ได้ แต่อยากบอกว่า ที่ออกมาวิ่ง เราแค่อยากเป็นส่วนเล็กๆ ที่ได้ช่วยเหลือตามกำลังของเรา อยากใช้โอกาสนี้ในการสื่อสารในสิ่งที่เราเห็นมา และเห็นว่า ไม่ว่าทำอะไรก็ตามก็ต้องเจอปัญหาในงานอยู่แล้ว ต้องก้าวข้าม หรือแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น เป็นสิ่งที่ต้องเจอและจัดการ แม้กระทั่งจัดการกับอารมณ์ตัวเองก็ต้องทำให้ได้
“สุดท้ายผมใช้ปลายทางที่เราทำประโยชน์มากกว่า ไม่รู้ มากน้อย แต่ขอให้มีประโยชน์สักหน่อย มันอาจจะมีหลายๆ ชีวิต ได้รับการรักษา หลายชีวิตในโรงพยาบาลสบายขึ้น ผมเอาตรงนี้เป็นเป้าหมาย ต้องย้อนกลับไปคิดว่า วันแรก เหตุที่เราออกมาทำนั้นเพื่ออะไร เพราะจริงๆ ผมอยู่เฉยๆ ก็ได้ มีความสุขดี ไม่ต้องออกมาทำอะไรแบบนี้”
และเมื่อถูกถามว่า อยากจะฝากอะไรถึงคนที่ออกมาวิจารณ์มั้ย นักร้องหนุ่มบอกเพียงสั้นๆ แต่ได้ใจความว่า “ไม่มีครับ ผมชอบทำมากกว่าพูดครับ...”
ฟังแล้วก็เจ็บปวดใจลึกๆ เหมือนกันสำหรับ ชาญวิทย์ เกษตรศิริ ที่แทนที่จะอยู่เฉยๆ เงียบๆ ตอนแก่ กลับต้องมาเจอกับเสียงด่ากลับไปของชาวบ้านที่เขาไม่ได้คิดซับซ้อน เพราะเพียงแค่ได้ร่วมบริจาคทำบุญร่วมกับนักร้องขวัญใจของพวกเขา ที่เห็นว่าทำดี และมีความตั้งใจดีเท่านั้นเป็นพอ
แต่ขณะเดียวกัน อีกด้านหนึ่งมันก็เหมือนกับการเป็นกรรมคนบางกลุ่มที่มีคนพวกนี้เข้าไปอิงแอบเป็นพวก เช่นเดียวกับกรณีนี้ ที่เชื่อว่ามีคนเสื้อแดงจำนวนมาก ที่รู้สึกกระอักกระอ่วน เพราะเป็นแฟนคลับและสนับสนุนแนวคิดของ ตูน บอดี้สแลม ในครั้งนี้ด้วย แต่ต้องมาพบกับความคิดแบบ “ขวางโลก” แบบไม่ดูตาม้าตาเรือ และที่น่าเจ็บปวดก็คือ คนพวกนี้มักชอบแอบอ้างประชาธิปไตย เป็นสัญลักษณ์ประชาธิปไตย แต่กลับกลายเป็นว่า ประชาธิปไตยในทัศนะของพวกเขามันชักจะด้อยค่าลงไปเรื่อยๆ เหมือนกับเสียงวิจารณ์ “ก้าวคนละก้าว” ของ ตูน บอดี้สแลม ที่ได้รับแรงกระแทกสะท้อนกลับมาอย่างแรง และที่สำคัญ กลับสร้างแรงส่งให้โครงการนี้ไปถึงเป้าหมายได้เกินคาดเช่นเดียวกัน !!