ป้อมพระสุเมรุ
กลายเป็นปรากฎการณ์ “ไฟลามทุ่ง” ทำเอา “ภิกษุ-ฆราวาส” ที่หากินกับผ้าเหลือง เดือดร้อนกันทุกหย่อมหญ้า ข่าวอื้อฉาวของ “พระผู้ใหญ่-พระผู้น้อย” มีปรากฏต่อเนื่องมาเป็นลำดับ
สำคัญกว่านั้นปรากฎการณ์ “ไฟลามทุ่ง” ที่เกิดขึ้น ยังประจาน “วงการสงฆ์ไทย” ด้วยว่าแตะไปตรงไหนก็มีแต่เรื่อง “ทุศีล” ฉาวโฉ่ จนอาจพูดได้ว่า ไม่ใช่ไฟลามทุ่งธรรมดา แต่กลายเป็น “ลามเหมือนขี้กลาก” คงไม่ผิดนัก
ความจริงข้อเรียกร้อง “สังคายนาศาสนา - ปฏิรูปสงฆ์ไทย” ในช่วงหลังนั้นมีหัวเชื้อชั้นดีอย่างการกำหลาบ “ลัทธิธรรมกาย” กับการไล่ล่าตัว “ธัมมชโย” พระไชยบูลย์ สุทธิผล อดีตเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญา คดีพิเศษเลขที่ 27/2559 ในข้อหาสบคบและร่วมกันฟอกเงินและร่วมกันรับของโจร กรณีทุจริตเงินสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน
จนถูกตีแผ่ความเลวร้ายของ “ลัทธิธรรมกาย” ตลอดจนความฟอนเฟะของ “แก๊งจีวรจานบิน” ที่มีจุดเปลี่ยนสำคัญคือการข้ามห้วยมารับตำแหน่ง ผู้อำนวยการสำนักพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) ของ พ.ต.ท.พงศ์พร พราหมณ์เสน่ห์ อดีตผู้บัญชาการสำนักคดีภาษีอากร กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) นั่นเอง
เพราะแม้ภารกิจไล่ล่า “อดีตพระธัมมชโย” ตลอดจนการกวาดล้างลัทธิความเชื่อ “วิชาธรรมกาย” จะไม่สำเร็จ แต่ “ผอ.พงศ์พร” ก็ขยายผลไปถึงการตรวจสอบการทุจริตงบอุดหนุนบูรณะปฎิสังขรณ์วัดและพัฒนาวัด หรือที่เรียกว่า “เงินทอนวัด” ที่เสมือนเป็นการ “ทุบหม้อข้าว” ของ “อาณาจักรแสนล้าน” ทำเอา “วงการสงฆ์” สะดุ้งกันทั้งดง ท่ามกลางเสียงเชียร์ “ผอ.พงศ์พร” กระหึ่มเมือง
แต่ไม่รู้ไปสะดุดอะไรเข้า จู่ๆรัฐบาลโดย “นายกฯตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็มีมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) โยก “ผอ.พงศ์พร” ออกจากตำแหน่ง ท่ามกลางความระคนสงสัยว่า “รัฐบาลทหาร” ไม่กล้าหักกับ “เถระผู้ใหญ่” ซึ่งอาจตกพุ่มเงินทอนวัดไปด้วยเป็นแน่แท้
ก่อนที่ “ครม.ลุงตู่” จะกลืนน้ำลายตัวเองเอื๊อกใหญ่ มีมติอีกครั้งหลังผ่านไปไม่ถึงเดือนให้โยกย้าย “ผอ.พงศ์พร” กลับมานั่งเก้าอี้ ผอ.พศ.อีกครั้ง พร้อมริบการกำกับดูแล พศ.ออกจากมือ วิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี และ ออมสิน ชีวะพฤกษ์ รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ส่งให้ “บิ๊กเจี๊ยบ” พล.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร รองนายกรัฐมนตรี ดูแลแต่เพียงผู้เดียว
สอดรับกับ “สัญญาณแปร่งๆ” เมื่อ "รัฐบาล คสช." ถอยทัพไม่ต่อล้อต่อเถียงกับ “วงการผ้าเหลือง” แต่ กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการทุจริตและประพฤติมิชอบ (บก.ปปป.) ก็ปฏิบัติการกวาดล้าง “ฆราวาส-อลัชชี” ในคดีทุจริตเงินทอนวัดอย่างเข้มข้น ทั้งการเข้าตรวจค้น-อายัดทรัพย์ และออกหมายเรียก “เครือข่ายทุจริตเงินทอนวัด” เข้ารับทราบข้อกล่าวหา โดยมีรายชื่อ “4 พระผู้ใหญ่” ติดโผไปด้วย
อันประกอบไปด้วย “เจ้าคุณบุญเทียม” พระราชรัตนมุนี เลขานุการเจ้าคณะใหญ่หนกลาง “เจ้าคุณประเทือง” พระเทพเสนาบดี เจ้าอาวาส วัดกวิศวราราม เจ้าคณะจังหวัดลพบุรี และ พระครูวิสุทธิวัฒนกิจ ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดราชสิทธารามวรวิหาร ซึ่งล้วนเป็นเถระใกล้ชิด “สมเด็จสมศักดิ์” สมเด็จพระพุทธชินวงศ์ เจ้าอาวาสวัดพิชยญาติการามวรวิหาร ในฐานะเจ้าคณะใหญ่หนกลาง ผู้ซึ่งดองเรื่องวินิจฉัยอาบัติปาราชิก “ธัมมชโย” มาจนบัดนี้ทั้งหมด
มีการวิเคราะห์ “เบื้องลึก” ว่า ปฏิบัติการของ ปปป.และการคือตำแหน่งให้ “ผอ.พงศ์พร” นั้น ไม่ใช่เป็นคำสั่งของรัฐบาลเอง อีกทั้งยังสะท้อนว่า “รัฐบาล คสช.” เดินหมากผิด กับการล้างบาง “เปรตอมเงินวัด” โดยเฉพาะการยอมถอยให้กับ “มาเฟียสงฆ์”ถือเป็นก้าวย่างที่พลาด “สวนทางลม” มากกว่า “ลู่ไปตามลม”
หลังจากนั้นเป็นต้นมาก็ “มันพะยะค่ะ” เพราะเสมือนเป็นสัญญาณว่า “ผอ.พงศ์พร” ได้รับ “ตราตั้ง - สิทธิ์ขาด” ในการเดินภารกิจ “สังคายนาศาสนา - ปฏิรูปสงฆ์ไทย” ในฐานะ ผอ.พศ. ที่สามารถ “ปลดแอก” จากการครอบงำของ กรรมการมหาเถรสมาคม (มส.) ได้เป็นครั้งแรก
โดยหลังการสถาปนา สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายกแล้ว ท่านก็ได้มอบหมายให้ “สมเด็จจุนท์” สมเด็จพระวันรัต เจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศราชวราราม และกรรมการ มส. เป็นประธานในการประชุมแทนเป็นส่วนใหญ่ เดิม ผอ.พศ.ที่มีหน้าที่ “เลขานุการ มส.” โดยตำแหน่ง อีกทั้ง ผอ.พศ.ในอดีตทุกราย ก็ทำตัวเป็น “เด็กวัด” จัดแจงทุกอย่างตามที่ “เจ้าประคุณสมเด็จ” ใน มส.สั่งการมา หากแต่พอเลขานุการ มส.มาเป็น “ผอ.พงศ์พร” กลับไม่สนองงานอย่างคนเก่าก่อน ด้วยหลายเรื่องมีความไม่ชอบมาพากล จึงเกิดการไม่ลงรอยกันขึ้นระหว่าง มส.-พศ. แต่ก็ได้พักยกไปชั่วคราวเมื่อ “ผอ.พงศ์พร” ถูกเอาไปแขวนไว้ ก่อนจะคัมแบ็คกลับมา
พลันที่ฉายหนังตัวอย่าง “รีเทิร์น ออฟ พงศ์พร” ก็ทำให้ พศ.มีภาษีดีกว่า “บอร์ด มส.” ไปโดยปริยาย
และแม้คัมแบ็คมาคราวนี้ “ผอ.พงศ์พร” เลือกที่จะเล่นเกม “โลว์โปรไฟล์” ยังไม่ปรากฎกายต่อสาธารณะ แต่ภายใต้ "ความสงัด" แต่กลับพบความเปลี่ยนแปลงที่ “น่าสะพรึง” สำหรับ “มาเฟียพระ-โจราผ้าเหลือง” กระทั่งฆราวาสประเภทเกาะชายผ้าเหลืองหากิน
กดปุ่มเด้งพวกตัวเป้งๆที่เป็นขั้วเก่าใน พศ.ออกนอกวงโคจรไปนับสิบราย ทลาย “มือไม้อาณาจักรพุทธมณฑล” ทั้ง บุญเชิด กิตติธรางกูร ผอ.สำนักเลขาธิการมหาเถรสมาคม (สถ.) ให้ไปเป็น ผอ.พศ.ที่ จ.ลพบุรี ประดับ โพธิกาญจนวัตร ผอ.สำนักงานพุทธมณฑล ในฐานะโฆษก พศ. ไปเป็น ผอ.พศ. ที่ จ.พระนครศรีอยุธยา ณรงค์ ทรงอารมณ์ ผอ.กองพุทธศาสนาศึกษา ไปเป็นผู้ตรวจราชการ พศ. หรือ ฉัตรชัย ชูเชื้อ ผอ.กองพุทธศาสนสถาน ไปเป็น ผอ.พศ. จ.ปทุมธานี เป็นต้น
โดยเฉพาะรายของ “บุญเชิด” ที่เป็น ผอ.สำนักงานเลขาธิการ มส. ทำงานใกล้ชิดพระเถระชั้นผู้ใหญ่ใน มส. ก็ถูกเด้งแบบไม่ไว้หน้า แถมมีข่าวสะพัดว่า “ผอ.พงศ์พร” อาจจะควบตำแหน่งนี้ด้วยตัวเองอีกด้วย
ไม่เท่านั้นยังมีข่าวลือหนาหูว่า จะมีการกดดันให้ “กรรมการ มส.ลากตั้ง” ที่ไม่ใช่ “สมเด็จพระราชาคณะ” แต่มาโดยการแต่งตั้งในยุคที่ “สมเด็จช่วง” สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ เจ้าอาวาสวัดปากน้ำภาษีเจริญ อดีต รักษาการตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราช ลาออกเพื่อเปิดทางให้มีการปรับเปลี่ยนตัวบุคคลใน มส. หลัง “กรรมการ มส.ลากตั้ง” เหล่านี้ไม่ยอมแสดงสปิริตทั้งที่มีการสถาปนา สมเด็นพระสังฆราชพระองค์ใหม่แล้ว
รวมทั้งที่มาของ “กฎเหล็กสงฆ์” อันประกอบด้วย “7 ข้อห้าม 4 คำสั่ง 3 บทลงโทษ” ที่ออกจาก “เจ้าคณะปกครองสงฆ์” ทั้งหนเหนือ-ใต้-กลาง-ตะวันออก ถึงเจ้าคณะในปกครอง เพื่อแจ้งวัดทั่วประเทศให้ปฏิบัติตาม “ธรรมวินัย” อย่างเคร่งครัด พุ่งเป้าไปที่ “สงฆ์สายพุทธพาณิชย์” เต็มๆ
ร่ำลือกันว่าต้นธาร “กฎเหล็กสงฆ์” มิได้มาจากที่ประชุม มส.อย่างเคย แต่เป็นแนวทางที่ พศ.ขอความร่วมมือไปยัง “เจ้าคณะปกครองสงฆ์” จนต้องออกคำสั่งในเวลาไล่เลี่ยกัน ด้วยถ้อยคำที่แทบจะลอกกันมาเป๊ะๆ โดยมิได้นัดหมาย
สัญญาณแรกที่สะท้อนว่า งานนี้สะเทือนไปทั้ง “ดงขมิ้น” ทำเอา “อาสนะร้อน” ตามๆ กันคือการหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยของ เบอร์หนึ่งแห่งยุค “เจ้าคุณธงชัย” พระพรหมมังคลาจารย์ ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดไตรมิตรวิทยารามวรวิหาร เจ้าของเหรียญ-ยันต์สุดเข้มขลัง หลายต่อหลายรุ่น ที่เกิดอาการสมาธิสั้น จำวัด-จำพรรษากันไม่ลง ใช้วิชา “ล่องหน” ออกจากวัดไปทันที
ว่ากันว่า “เจ้าคุณคนดัง” ยอม “แหกพรรษา” ไม่รออานิสงค์ผลบุญเข้าพรรษา จาริกไปแถวๆชายแดน เพื่อหาช่องทางไปธุดงค์ไกลโพ้นทะเล ที่จนตอนนี้ก็ยังไม่มีข่าวคอนเฟิร์มว่า ไปถึงที่หมายปลายทางหรือยัง อันนี้บอกเลยว่า “น่าเป็นห่วง”
ในขณะที่ “สงฆ์ส่วนกลาง” กำลังเดือดร้อนหนัก วงการ “สงฆ์โซนภาคเหนือ” ก็อื้ออึงไม่แพ้กัน จากกรณีที่ “เจ้าคุณนิมิต” พระราชรัชมุนี เจ้าอาวาสวัดสวนดอก พระอารามหลวง อ.เมืองฯ จ.เชียงใหม่ และเจ้าคณะอำเภอเมืองเชียงใหม่ ถูกร้องเรียนว่า “สวมสิทธิ์คนตาย” ใช้เลขบัตรประจำตัวประชาชนของผู้อื่น เพื่อปกปิดสัญชาติที่แท้จริงของตัวเอง ที่มีเหล่ากอมาจากประเทศเพื่อนบ้าน
ยังไม่ทันที่จะมีการตรวจสอบให้รู้เช่นเห็นชาติ “เจ้าคุณนิมิต” ก็อันตรธานหายตัวไปอย่างลึกลับ คงด้วยความผิดที่ชัดเจนแจ่มแจ้งกระมัง ถึงขนาด “บิ๊กป๊อก” พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย สั่งเพิกถอนบัตรประจำตัวทันที ตามมาด้วย “บิ๊กฉิ่ง” ฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ยังพูดแบบไม่กั๊กว่า มีการดำเนินการที่ “กระทำผิดกฎหมาย” แม้ฝ่ายที่รับผิดชอบจะยังไม่ได้บทสรุปอย่างเป็นทางการมาก็ตาม
นอกจากข้อหา “ปลอมแปลงบัตร” แล้ว ยังสุ่มเสี่ยงจะถูกตรวจสอบว่า เข้าเมืองผิดกฎหมายอีกกระทงหรือไม่ เนื่องด้วยสัญชาติเดิมที่เป็น “หม่อง” จากประเทศเพื่อนบ้าน ส่อถูกดำเนินคดีความทางอาญา มากกว่า 1 กระทง
ยิ่งที่มาที่ไปของการ “ปลอมแปลงบัตร” ที่ไล่เรียงดูแล้วอาจมี “พระบางรูป” รู้เห็นเป็นใจกันด้วย จากข้อมูลล่าสุดที่ระบุว่า “หม่องนิมิต” สวมเลขบัตรประชาชนของ “ด.ช.ดวงดี เวียงดินดำ” หรือ “มหาดวงดี” ซึ่งจบเปรียญธรรม 3 ประโยค เมื่อครั้งจำวัดอยู่ที่วัดพระยาพิเรนทร์ ย่านวรจักร กทม. แต่เกิดอาพาธด้วยโรคมะเร็ง ก่อนกลับไปมรณภาพด้วยที่บ้านเกิดใน อ.ภูเขียว จ.ชัยภูมิ ตอนอายุ 22 ปี เหตุการณ์ที่ว่าผ่านมาตั้งแต่ช่วงปี 2537 หรือ 23 ปีที่แล้ว มีพยานยืนยันนับพันคนที่ไปร่วมงานศพของ “มหาดวงดี” ในตอนนั้น
สอดคล้องกับข้อมูลเดิมของ “อดีตเจ้าคุณนิมิต” ที่ระบุว่าชื่อ นายนิมิต ยอดคำ เกิดเมื่อ 2 เม.ย.2508 สัญชาติพม่า พ่อชื่อ อิ่ง แม่ชื่อ นามแสง สัญชาติพม่า อยู่บ้านเลขที่ 37 หมู่ 14 ต.ท่าตอน อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่ ต่อมาเมื่อวันที่ 22 พ.ค.2525 ได้บวชเป็นพระชื่อ พระมหานิมิต ฉายา สิขรสุวณฺโณ นามสกุล วุฒิชัย โดยได้บวชที่วัดท่าตอน อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่ ระบุใน “ใบสุทธิ” ที่พระอุปัชฌาย์ต้องเป็นผู้ตรวจสอบก่อนจะทำการบรรพชาว่า ชาติภูมิ เกิดวันที่ 14 เม.ย.2508 ณ บ้านเลขที่ 3 ต.ท่าตอน อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่
กระทั่งมาขอทำบัตรใหม่ และได้เลื่อนสมณศักดิ์เป็น “พระราชรัชมุนี” (นิมิต ทิพย์ปัญญาเมธี)โดยไปขอทำบัตรประชาชน เมื่อวันที่ 24 เม.ย.2552 ที่ อ.ภูเขียว จ.ชัยภูมิ ระบุในคำร้องขอทำบัตรว่าในกรณี “เป็นบุคคลซึ่งได้รับยกเว้น” แต่กลับระบุวันเดือนปีเกิดว่า วันที่ 5 มิ.ย.2513
เมื่อ “หม่องนิมิต” ส่อว่าจะกระทำผิดในการ “สวมสิทธิบัตรประชาชนคนตาย” ก็เท่ากับผิด “ศีลพื้นฐาน” ข้อ 2 อทินนาทานฯ ลักขโมย และข้อ 4 มุสาวาทาฯ พูดปด โดยเฉพาะข้อ 2 อทินนาทานฯ นี่เข้าข่าย “ถือเอาทรัพย์ที่เจ้าของไม่ได้ให้มาเป็นของตน” เข้าเกณฑ์ “อาบัติปาราชิก” ที่ทางสงฆ์เรียกว่า “อเตกิจฉา” อาบัติหนักที่ไม่สามารถแก้ไขได้ แม้ไม่กล่าวลาสิกขา ก็ถือว่า “ขาดจากความเป็นภิกษุ” ทันที
ถือเป็นข้อหาฉกรรจ์ของพระดาวรุ่งแห่งแดนเหนือ เหลือเพียงตำแหน่ง “สมีนิมิต” ที่ติดตัวอยู่ตอนนี้
มีข้อสังเกตว่าการสวมสิทธิคนตายอาจจะเป็นขบวนการผิดกฎหมายที่ลักลอบทำกันอย่างแพร่หลายโดยความร่วมมือของ “ข้าราชการกังฉิน” บางส่วนก็จริง แต่ในกรณีนี้ผู้ที่สวมสิทธิยังเป็นพระสงฆ์อีกด้วย นอกจากข้าราชการแล้ว คงมีพระสงฆ์บางรูปรู้เห็น และเป็นผู้แจ้งข่าวว่า มีพระมรณภาพ แล้วให้ “หม่องนิมิต” ที่มุ่งมั่นเอาดีทางธรรมมาสวมบัตรไปแทน
จึงต้องย้อนกลับไปดู “รากเหง้า” ของ “สมีนิมิต” ก่อนที่จะสร้างประวัติศาสตร์เป็น “เจ้าคุณชั้นราช” ด้วยพรรษาเพียงแค่ 20 ปีหน่อยๆ ก็พบว่ามี “เจ้าคุณสมาน” พระเทพมังคลาจารย์ เจ้าอาวาสวัดท่าตอน อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่ และรองเจ้าคณะจังหวัดเชียงใหม่ เป็น “พระอุปัชฌาย์” ให้
ที่สำคัญคือ “อาจารย์สมาน” ผู้นี้ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน ถูกยกให้เป็น “เบอร์ 1” ของเครือข่ายอาณาจักรจานบิน ในภาคเหนือ วีรกรรมที่จำกันติดตา ก็สมัยที่ คสช.ใช้มาตรา 44 ตรวจค้น วัดพระธรรมกาย “เจ้าคุณสมาน” นำพระสงฆ์ 300 รูป มาแสดงพลังที่ศาลากลาง จ.เชียงใหม่ กดดันให้ คสช. ยกเลิกการใช้ มาตรา 44 ปิดล้อม พร้อมกับป้ายตัวเบ้อเร่อ “ขอบิณฑบาตนายกรัฐมนตรี หยุดใช้ ม.44 รังแกชาวพุทธได้แล้ว”
นอกจากจะถูกมองว่าเป็น “พระสายธรรมกาย” แล้ว “หลวงพ่อสมาน” อุปัชฌาย์ “สมีนิมิต” รายนี้ยังถือเป็น “สายตรงวัดปากน้ำ” ที่เป็น “ต้นธารแห่งลัทธิธรรมกาย” เสียด้วย
เนื่องด้วย “หนเหนือ” เขตปกครองคณะสงฆ์ในภาคเหนือ ตกอยู่ในอาณัติของ “วัดปากน้ำ” มาตั้งแต่ปี 2537 ที่ “สมเด็จช่วง” เข้ามาครองตำแหน่ง “เจ้าคณะใหญ่หนเหนือ” ก่อนที่จะจำใจลาออกแบบเสียไม่ได้ในช่วง “วิกฤตธรรมกาย” เมื่อปี 2558 แต่ก็ใช้ “กำลังภายใน” ส่งไม้ให้ “เจ้าคุณวิเชียร” พระวิสุทธิวงศาจารย์ รองเจ้าอาวาสวัดปากน้ำ ดูแลต่อ ซึ่งแน่นอนว่ากว่า 23 ปีที่ผ่านมา การเติบใหญ่ของ “เจ้าคุณสมาน” จนมาถึงตำแหน่งรองเจ้าคณะจังหวัดเชียงใหม่ได้ ก็อยู่ในสายตาของ “สมเด็จช่วง” มาโดยตลอด
ยิ่งไปกว่านั้น “สมณศักดิ์” ที่ต่อท้าย “สมเด็จช่วง-เจ้าคุณสมาน” ก็ชัดเจนว่าเป็นไลน์ “มังคลาจารย์” เหมือนกัน
หรือที่ทางสงฆ์เรียกกันว่า “ปิ่นโตเถาเดียวกัน”
ผูกสมการง่ายๆ เมื่อร่องรอยของพระอาจารย์ “เจ้าคุณสมาน” เป็นเช่นนี้ “อดีตเจ้าคุณนิมิต” ก็คงเป็น “สายตรงวัดปากน้ำ” เช่นกัน เป็นที่มาของเสียงร่ำลือว่า เมื่อครั้ง “อดีตเจ้าคุณนิมิต” ย้ายจากวัดท่าตอนมา “เสียบยอด” ครองวัดสวนดอก ควบเจ้าคณะอำเภอเมืองเชียงใหม่ ก็ได้บารมี “เจ้าประคุณสมเด็จท่าน” จูงมือมาส่งยังกุฏิเจ้าอาวาสด้วยตนเอง จน “เจ้าที่เจ้าทาง” ต้องยอมศิโรราบ
เครือข่าย “สายตรงวัดปากน้ำ-ลัทธิธรรมกาย” ยังพันตูมาถึง “เจ้าคุณธงชัย” พระพรหมมังคลาจารย์ เจ้าของยันต์ศักดิ์สิทธิ์อีกด้วย
จากที่เติบโตมาตามสาย “สมเด็จสนิท” สมเด็จพระพุฒาจารย์ เจ้าอาวาสวัดไตรมิตรวิทยาราม สมภารวัดที่อาศัยอยู่ กระทั่งได้อัปเกรดจาก “พระราชาคณะชั้นธรรม” สมณศักดิ์ “พระธรรมภาวนาวิกรม” ขึ้นชั้น “รองสมเด็จ” ที่ “พระพรหมมังคลาจารย์” ซึ่งมีสมณศักดิ์ "มังคลาจารย์" เหมือนกับ “สมเด็จช่วง” ตัวเก็งเต็งหนึ่ง ตำแหน่ง “พระสังฆราช” ในขณะนั้น
ทำเอา “เจ้าคุณธงชัย” ปลื้มปริ่มกับการได้ตีตราเป็น “เด็กว่าที่สังฆราช” คำรามลั่นกุฏิว่าได้เป็น “ปิ่นโตเถาเดียว” กับ “ท่านเจ้าประคุณสมเด็จ” ช่างเป็นบุญยิ่งนัก
เวลาผ่านไปไม่นาน บุญหนักศักดิ์ใหญ่ของ “เถระ-ฆราวาส” ที่เคยเชิดหน้าชูตาด้วยอิทธิฤทธิ์ของ “วัดปากน้ำ - ลัทธิธรรมกาย” กำลังจะมีบทสรุปให้เห็น
อย่างน้อยๆ ก็รายของ “อดีตพระธัมมชโย - เจ้าคุณธงชัย - สมีนิมิต” จากพระดาวรุ่งพุ่งแรงแห่งยุค ที่ “จุดจบ” ต้องหลบลี้หนีหน้าไปอย่างไร้ร่องรอย น่าจะเป็นบทเรียนครั้งสำคัญให้ “เถระ-ฆราวาส” ที่มาจาก “ปิ่นโตเถานี้” ให้เตรียมตัวเตรียมใจรับชะตากรรมที่อาจจะเกิดขึ้นในไม่ช้านี้.