ส.ป.ก.แจงทหารช่างที่ 3 ค่ายสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ พิษณุโลก ร่วมปฏิบัติรื้อ “สวนส้มธนาธร” เชียงใหม่ ตามคำสั่ง ม.44 เพื่อปลูกบ้าน - ทำเกษตรตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง โต้เพจดังอ้างรื้อ 5,000 ไร่ ยันรื้อเพียง 120 ไร่ เผยทำความเข้าใจกับเจ้าของสวนเดิมแล้ว ย้ำสวนส้มไม่มีหลักฐานแสดงสิทธิไม่มีคุณสมบัติเป็นเกษตรกร ส่วนกรณี “สนามกอล์ฟคีรีมายา”ออกโฉนดที่ดินแล้ว ไม่อยู่ในอำนาจของ ส.ป.ก.
วันนี้ (14 ก.ย.) มีรายงานว่า จากกรณีสังคมออนไลน์วิจารณ์กรณีเจ้าหน้าที่สำนักงานปฏิรูปที่ดินเพื่อการเกษตรกรรม(ส.ป.ก.)เข้ารื้อยึดที่ดินแปลงสวนส้ม จังหวัดเชียงใหม่ ที่มีการครอบครองที่ดิน ในเขตปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมโดยมิชอบด้วยกฎหมาย ตามคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 36/2559 และ การนำที่ดินที่ยึดคืนมาดำเนินการตามนโยบายจัดที่ดินทำกินให้ชุมชนของรัฐบาล ในพื้นที่ ส.ป.ก. โดยสังคมออนไลน์ รวมถึงเจ้าของสวนส้มธนาธร ได้เสนอหน่วยงานที่เข้ามารื้อถอนว่า
“หากจะแบ่งให้ผู้ยากไร้ หรือจัดระบบสหกรณ์ ไม่ควรรื้อถอน หรือทำลายสวนส้มและสวนกล้วยทิ้งทั้งหมด โดยเก็บผลผลิตไปขาย หรือนำไปบริโภค จะได้ใช้ประโยชน์กว่าทำลายทิ้ง หรือก็ให้ประชาชนที่จะเป็นเจ้าของที่ดินได้นำไปใช้ต่อยอดได้ จึงอยากจะวิงวอนรัฐบาล ส.ป.ก. หรือผู้เกี่ยวข้องคิดทบทวนวิธีการรื้อถอนสวนผลไม้ก่อนยึดคืน”
ทั้งนี้ สวนส้มธนาธร มี นายบัณฑูร จิระวัฒนากูล เป็นผู้ก่อตั้งและเป็นเจ้าของสวนส้มธนาธร อ.ฝาง จ.เชียงใหม่
มีรายงานว่า ขณะที่ เพจเฟซบุ๊ก “หมามุ่ย” ได้เผยแพร่ภาพรถแบ็กโฮกำลังทำงาน ปรับพื้นดินให้ราบเรียบ และรื้อถอนต้นส้มพันธุ์ดีที่ปลูกมานานนับสิบปี รวมทั้งกล้วยหอมคุณภาพดี ตามคำสั่งของ หัวหน้า คสช. ออกคำสั่งฉบับที่ 36/2559 เรื่อง มาตรการในการแก้ไขปัญหาการครอบครองที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม โดยมิชอบด้วยกฎหมาย
เพจดังกล่าวระบุว่า พื้นที่สวนส้ม ใน จ.เชียงใหม่ ประมาณ 6,000 ไร่ ประกอบด้วย สวนส้มธนาธร ในอำเภอฝาง และ สวนอมรมิตร รวมทั้งสวนส้ม บริษัท เชียงใหม่มิตรเกษตร ใน อ.แม่อาย ถูกทางสำนักงานปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมจังหวัดเชียงใหม่ ยึดคืน เพื่อนำไปจัดสรรที่ดินให้แก่ผู้ยากไร้ รวมทั้งสถาบันเกษตรกร ในรูปแบบของสหกรณ์การเกษตร ตามคำสั่งของ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
อย่างสวนส้มธนาธร ผู้ผลิตส้มและกล้วยรายใหญ่ ที่ส่งขายทั่วไทยและต่างประเทศ ถูกรื้อถอนจำนวน 2,000 ไร่ ทางเจ้าของสวนส้ม ระบุว่า ยินดีทำตามคำสั่งของ หัวหน้า คสช. ทุกประการ และไม่คิดขัดขวางการทำงานของเจ้าหน้าที่แต่อย่างได แต่อยากจะสะท้อนปัญหากลับไปให้ขบคิดกัน นั่นคือ สวนส้มลูกกำลังโตสวย และกล้วยกำลังออกผลอีกไม่กี่วันก็ขายได้แล้ว แต่เจ้าหน้าที่กลับรื้อถอนออกไปทั้งหมด ซึ่งถือว่าเป็นการเสียประโยชน์ เสียโอกาสเป็นเงินนับสิบล้านบาท และหากรื้อแล้วจะปลูกผลไม้ใหม่ ก็ต้องใช้เวลาอีกหลายปี และใช้เงินอีกจำนวนมากกว่าจะได้เก็บผลผลิตขาย
จึงอยากจะแนะนำว่า หากจะแบ่งให้ผู้ยากไร้ หรือจัดระบบสหกรณ์ ก็ให้เขาเข้ามาดูแลรับช่วงต่อทันที ไม่จำเป็นต้องรื้อสวนส้ม หรือต้นกล้วยออกทั้งหมด ควรเก็บผลส้มไปขาย หรือเอากล้วยไปกินจะดีกว่า ยังได้เงินมาใช้อีกต่างหาก หรือจะให้ผู้ยากไร้เป็นเจ้าของสวนส้มต่อก็ทำได้ทันที เขาจะได้มีกินมีใช้ในอนาคตยันลูกหลาน การรื้อถอนแบบนี้ เสียโอกาสมาก เพราะกว่ากล้วยและส้มจะโตใช้เวลานาน จึงอยากจะวิงวอนรัฐบาล ส.ป.ก. หรือผู้เกี่ยวข้องขบคิดแก้ไข เพราะตอนนี้รื้อถอนไปแล้วราว 40 - 50 ไร่จากทั้งหมด 2,000 ไร่
ส.ป.ก.แจง ทหาร ทภ.3 จัดทำเป็นแปลงที่ดิน-ผังที่ดิน ตามคำสั่งบอร์ดที่ดินเชียงใหม่
มีรายงานว่า ขณะที่ นายบพิตร อมราภิบาล รองเลขาธิการ ส.ป.ก. เปิดเผยถึงกรณีที่มีการนำเสนอข่าวพร้อมมีการแสดงภาพถ่ายรถแบ็กโฮ กำลังรื้อถอนต้นส้ม ที่จังหวัดเชียงใหม่ เปรียบเทียบกับภาพสนามกอล์ฟที่จังหวัดนครราชสีมา พร้อมบรรยายว่าพื้นที่ทั้งสองแห่งอยู่ในเขตปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมเหมือนกัน ทำไมไม่รื้อสนามกอล์ฟ แต่มารีบเร่งรื้อถอนต้นส้มของสวนส้มธนาธร ที่อำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งเป็นการทำเกษตรกรรมอยู่แล้ว โดยเสนอข้อมูลว่า ส.ป.ก. จะรื้อถอนต้นส้มทิ้งทั้งหมด จำนวน 5,000 ไร่เศษ เจ้าของสวนส้มขอร้องว่าอย่ารื้อต้นส้มโดยให้เอาไว้จัดให้เกษตรกรทำสวนส้มต่อไป แต่ทาง ส.ป.ก. เชียงใหม่ ไม่ยอมรับฟังจะเดินหน้ารื้อถอนต้นส้มทิ้งทั้งหมดนั้น
“ส.ป.ก. ขอเรียนชี้แจงว่า ภาพถ่ายดังกล่าวนั้น หน่วยทหารช่างจากกรมทหารช่างที่ 3 ค่ายสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ จังหวัดพิษณุโลก กำลังรื้อถอนต้นส้มและต้นกล้วย (ปลูกแซมกัน) ในบริเวณที่จะจัดทำเป็นแปลงที่อยู่อาศัยและทำกินตามแนวปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงตามผังที่ดินที่คณะอนุกรรมการนโยบายที่ดินจังหวัดเชียงใหม่ (คทช. จังหวัดเชียงใหม่) ได้พิจารณาเห็นชอบแล้ว
ยัน รื้อถอนต้นส้ม เพียง 120 ไร่ ไม่ถึง 5 พันไร่ - คุยทำความเข้าใจเจ้าของสวนส้มเดิมแล้ว
โซน 1 ตั้งอยู่หมู่ที่ 6 ตำบลสันต้นหมื้อ อำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ (ไม่ใช่อำเภอฝางตามที่มีการเสนอข่าว) โดยมีเนื้อที่ที่รื้อถอนเพียง 120 ไร่ จากพื้นที่โซน 1 ทั้งหมด จำนวน 986 ไร่ จัดที่ดินให้เกษตรกร จำนวน 60 รายๆ ละ 1 ไร่ คงเหลือพื้นที่เกษตรกรรมแปลงรวมในโซน 1 (แปลงต้นส้ม) จำนวน 711 ไร่ ซึ่งจะอนุญาตให้สหกรณ์การเกษตร ที่จะจัดตั้งขึ้นจากการรวมตัวของเกษตรกรดังกล่าวเข้าทำประโยชน์สวนส้มโดยการทำสัญญาเช่ากับ ส.ป.ก. ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (พลเอก ฉัตรชัย สาริกัลยะ) ได้มอบนโยบายในการจัดที่ดินให้ยังคงการทำประโยชน์เป็นสวนส้มเหมือนเดิม
การดำเนินการดังกล่าวข้างต้นนี้ ส.ป.ก. ได้ประชุมหารือและทำความเข้าใจ กับเจ้าของสวนส้มเดิมรวมถึง บริษัท สวนส้มธนาธร จำกัด เป็นระยะจนเป็นที่เข้าใจแล้ว โดยการดำเนินการปรับพื้นที่ เพื่อจัดทำเป็นแปลงที่อยู่อาศัยและทำกินตามแนวปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงตามผังที่ดินดังกล่าวจะดำเนินการ ในแต่ละโซน ได้แก่ โซน 1 - 5 ดังนั้น การนำเสนอข้อมูลว่า ส.ป.ก. จะรื้อถอนต้นส้มทิ้งทั้งหมด จำนวน 5,000 ไร่เศษ และจะจัดที่ดินแปลงโล่งเตียนให้แก่เกษตรกรจึงไม่เป็นความจริง และเป็นข้อมูลที่คลาดเคลื่อนจากข้อเท็จจริงเป็นอย่างมาก อนึ่ง จุดที่สื่อมวลดังกล่าวแสดงภาพถ่ายอยู่ห่างจากถนนใหญ่ประมาณ 1 กม. บุคคลภายนอกโดยทั่วไปเข้าถึงได้ยาก และสื่อมวลชนดังกล่าวไม่ได้แจ้งให้ ส.ป.ก. เชียงใหม่ ทราบการเข้าดำเนินการในพื้นที่ดังกล่าว”
ส.ป.ก. ยกเคสย้ำ! เป็นผู้กระทำความผิดตามกฎหมายป่าไม้
สำหรับ กรณีที่มีการอ้างว่าเจ้าของสวนร้องว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม เพราะได้ทำสวนส้มมาตั้งแต่ปี พ.ศ .2530 ส.ป.ก. กำหนดเขตปฏิรูปที่ดินทับที่ดินที่สวนส้มธนาธรที่ทำประโยชน์อยู่ก่อนนั้น “ส.ป.ก. ขอเรียนชี้แจงว่า บริษัท สวนส้มธนาธร จำกัด ทำสวนส้มอยู่ในท้องที่อำเภอแม่อาย และอำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ โดยให้ชื่อว่า สวนธนาธร 1 - 9 สำหรับสวนส้มที่อยู่ในพื้นที่เป้าหมาย ได้แก่ สวนธนาธร 3 - 7 และ 9 (บางส่วน) โดยสวนธนาธร 1 สวนธนาธร 2 สวนธนาธร 8 (บางส่วน) และสวนธนาธร 9 (บางส่วน) อยู่นอกเขตปฏิรูปที่ดิน และที่ดินส่วนที่อยู่ในเขตปฏิรูปที่ดินมีความเป็นมา ดังนี้
“ที่ตั้งและความเป็นมาของพื้นที่ที่ยึดคืนส้มมา เดิมอยู่ในเขตป่าไม้ต่อมาได้มีพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตปฏิรูปที่ดินในบริเวณดังกล่าว ส.ป.ก. เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินที่ได้มาเพื่อใช้ในการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมตามกฎหมาย ดังนั้น บุคคลผู้อ้างการครอบครองที่ดินก่อนมีการประกาศเขตปฏิรูปที่ดิน จึงเป็นผู้กระทำความผิดตามกฎหมายป่าไม้ในขณะนั้น และต่อมาเมื่อที่ดินดังกล่าวตกเป็นกรรมสิทธิ์ของ ส.ป.ก. และผู้ครอบครองที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดินไม่ยินยอมเข้าสู่กระบวนการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม การครอบครองที่ดินของบุคคลดังกล่าวจึงเป็นการครอบครองที่ดินโดยมิชอบด้วยกฎหมายตลอดมา
ย้ำสวนส้มธนาธร ไม่มีหลักฐานแสดงสิทธิ-ไม่มีคุณสมบัติเป็นเกษตรกร
ทั้งนี้ เมื่อได้มีการประกาศพื้นที่เป้าหมายเพื่อดำเนินการตามคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติที่ 36/2559 ในบริเวณดังกล่าว บริษัท สวนส้มธนาธร จำกัด ได้ยื่นสำเนาหลักฐานสัญญาการสละสิทธิครอบครองฯ (ซื้อขาย) กับชาวบ้านผู้ครอบครองที่ดินเดิม จำนวน 148 ราย และผลการพิจารณา คำร้องปรากฏโดยแจ้งชัดว่าบริษัทดังกล่าวไม่มีหลักฐานแสดงสิทธิในที่ดินตามกฎหมายกำหนด อีกทั้งไม่มีคุณสมบัติเป็นเกษตรกรที่อาจได้รับการจัดที่ดินตามกฎหมายว่าด้วยการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม
เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องจึงได้ดำเนินการตามกระบวนการยึดคืนที่ดินเพื่อนำมาจัดให้แก่เกษตรกรผู้ยากไร้ดังกล่าว ดังนั้น การนำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับการครอบครองที่ดินของบริษัท สวนส้มธนาธร จำกัด ในรายการดังกล่าว จึงมีลักษณะเป็นการนำเสนอที่คลาดเคลื่อนจากข้อเท็จจริงและไม่มีรายละเอียดความเป็นมาที่ถูกต้องตลอดจนเป็นการแสดงความคิดเห็นที่อาจเข้าลักษณะเป็นการดูหมิ่นเจ้าพนักงาน ซึ่งกระทำการตามหน้าที่หรือเพราะได้กระทำการตามหน้าที่ และหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา”
เคส “สนามกอล์ฟคีรีมายา” ออกโฉนดที่ดินแล้ว ไม่อยู่ในอำนาจของ ส.ป.ก
ในส่วนกรณีของสนามกอล์ฟตามที่เป็นข่าวในอำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา นั้นดำเนินการ โดยโรงแรมคีรีมายา กอล์ฟ แอนด์ สปา อยู่ในพื้นที่นิคมสร้างตนเองลำตะคอง ซึ่งขยายพื้นที่ทับซ้อนเขตดำเนินการ ปฏิรูปที่ดินโครงการที่จำแนกป่าเขาใหญ่ และออกเป็นเอกสารสิทธิ์ตามประมวลกฎหมายที่ดิน (โฉนดที่ดิน) ไปแล้ว กรณีนี้จึงไม่อยู่ในอำนาจของ ส.ป.ก. ที่จะดำเนินการตามคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่ 36/2559 เรื่อง มาตรการแก้ไขปัญหาการครอบครองที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมโดยมิชอบด้วยกฎหมาย