นายกรัฐมนตรี รับมอบงานจาก สภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ชูเป็นคนสูงวัยที่มีคุณภาพ บอกทำงานต้องเชื่อใจลดหวาดระแวง ต้องเร่งกำจัดจุดอ่อน สร้างความแข็งแกร่งให้การบริหาร หวัง 2579 เป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว ยันไม่ได้คิดสืบทอดอำนาจ ย้ำยุทธศาสตร์ไม่ได้บังคับแต่ควบคุมให้ขับเคลื่อน ถามกรมการขนส่งทางรางจะตั้งได้หรือไม่ พร้อมตรวจสอบใครได้ประโยชน์ให้หาหลักฐานมา ลั่นพูดแล้วทำไม่เหมือนสภาที่แล้ว
วันนี้ (31 ก.ค.) ที่รัฐสภา เมื่อเวลา 10.00 น. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวในพิธีรับมอบงานของสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) ตอนหนึ่งว่า วันนี้ถือเป็นวันแสดงความสำเร็จ และความร่วมมือความร่วมใจในการทำงานของทุกคนในรัฐสภานี้ล้วนเป็นคนสูงวัยที่มีคุณภาพ เป็นการทำประโยชน์ให้ประชาชนคนไทย ประเทศชาติ รวมทั้งวางแผนอนาคตให้คนในชาติด้วย ทั้งนี้การทำงานเราจะต้องไว้เนื้อเชื่อใจระหว่างกันให้ได้ ลดความหวาดระแวง ทำทุกอย่างเพื่อประโยชน์ของชาติ และประชาชนให้เกิดขึ้นได้โดยเร็ว โดยพิจารณาตามขั้นตอนความเหมาะสมของสถานการณ์ที่จะมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา
“เหตุผลก่อนที่ผมจะเข้ามา ทราบกันอยู่แล้วว่าผมเข้ามาทำอะไร เข้ามาเพื่ออะไร ก็ไม่อาจจะอ้างได้ว่าเป็นคนที่ดี เป็นคนที่เก่งที่สุด ที่เข้ามาทำหน้าที่นี้ซึ่งไม่มีใครอยากเข้ามาหรอก ถ้ามันไม่มีเหตุการณ์เกิดขึ้น สถานการณ์ช่วงนั้นเราทราบกันดีอยู่แล้ว มีแรงกดดันสูงทั้งภายในและภายนอกประเทศเป็นปัจจัยสำคัญ สถานการณ์ภายในประเทศอยู่ในภาวะไม่สงบสุข มีวิกฤตการณ์ทางการเมืองหลายๆ อย่างเกิดขึ้น ประชาชนเกิดความขัดแย้ง แตกแยก เกิดความรุนแรงทำให้ผู้บริสุทธิ์ได้รับบาดเจ็บ เสียชีวิต ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่น โครงการต่างๆ หยุดชะงักทั้งหมดเนื่องจากความขัดแย้ง การใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐไม่สามารถดำเนินการได้ตามปกติจากสถานการณ์ที่เกิดขึ้น อีกทั้งมีผลกระทบซ้ำเติมจากเศรษฐกิจภายนอกประเทศของโลกที่มีการเปลี่ยนแปลง ชะลอตัวมานาน” พล.อ.ประยุทธ์กล่าว
พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ปัญหาการกระทำผิดกฎหมายที่เรื้อรังมานาน ไม่ว่าจะด้วยการปล่อยปละละเลย การทุจริต การขาดวินัยของคนไทย โดยเฉพาะกฎหมายจราจรที่ไม่ปฏิบัติกันซึ่งใช้กฎหมายอย่างเดียวไม่ได้ รัฐบาลต้องหามาตรการที่ทำให้เขาพอใจ อย่ามองว่าจะต้องใช้กฎหมายอย่างเดียว หรือจะใช้อำนาจตนอย่างเดียวแล้วจะทำได้ทั้งหมด อะไรที่ทำได้ก็คือทำได้ และต้องแก้ปัญหาให้ประชาชนด้วยในทุกๆ เรื่อง พัฒนาอย่างเท่าเทียมไม่ทิ้งกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งไว้ข้างหลัง ต้องเร่งกำจัดจุดอ่อน เหมือนเกมกำจัดจุดอ่อน สร้างความแข็งแกร่งให้กับการบริหารราชการแผ่นดิน
ทั้งนี้ ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี มีการกำหนดวิสัยทัศน์ประเทศถึงปี 2579 คาดว่าประเทศมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน รัฐบาลคิดในเชิงบริหาร ไม่ได้คิดเพื่อจะสืบทอดอำนาจ มีเป้าหมาย แผนงานชัดเจน ส่วนการปฏิรูประเทศ ที่มีทั้งการปฏิรูปการศึกษา และการปฏิรูปตำรวจตามรัฐธรรมนูญ อย่าไปคิดว่าไม่ดีแล้วต้องปฏิรูป แต่ต้องดูว่าเกิดประโยชน์ต่อใครและอย่างไร ไปล้มทั้งหมดคงไม่ได้ รวมถึงการกระจายอำนาจท้องถิ่น ถ้าเลิกวันนี้ก็ปั่นป่วนหมด ควรทำให้เขาแข็งแรงก่อน ไม่ทุจริต วันนี้ต้องทำแผนงานให้สอดคล้องกัน ไม่มีทางล็อบบี้สำนักงบประมาณได้ ต้องมาให้ตนอนุมัติ เพื่อให้เกิดผลในทุกพื้นที่ การทำอะไรต้องคำนึ่งถึงเงินด้วย ดูความจำเป็น อย่างบัตรทอง 30 บาทก็ต้องให้ งบประมาณขาดอยู่แล้วเราต้องทำ ล้มไม่ได้อยู่แล้วประชาชนเองเดือดร้อน ไม่ยอมให้แก้ เขาเคยชินแบบนี้มาตลอดซึ่งต้องมีแผนปรับปรุง
สำหรับเรื่องสำคัญยุทธศาสตร์ชาติ-ปฏิรูป เป็นคู่แฝดที่ต้องทำคู่ขนาน โดยยุทธศาสตร์เป็นเข็มทิศนำทางเพื่อเดินไม่ตกหลุม ส่วนการปฏิรูปเป็นการปรับเครื่องยนต์ให้มีสมรรถนะให้ไปได้เร็วขึ้น และปรับปรุงรักษาที่ชำรุดจากการทุจริต ระบบการบริหารราชการไม่หยุดชะงัก วันนี้เราอยู่บนสะพานข้ามน้ำอันเชี่ยวกราก ท้ายสุดตกสะพานไม่เป็นไรเพราะสะพานต้องถูกทุบทิ้ง แต่ต้องว่ายน้ำให้เป็น ตนไม่กลัวเพราะว่ายน้ำเป็น ใส่เสื้อชูชีพ ดูแลตัวเอง แต่ประเทศชาติต้องมาก่อน โดยธรรมะจะคุ้มครองพวกเรา และต้องปรับกล่องควบคุมคือ กฎหมายต่างๆ เราต้องไม่ปล่อยภาระไว้ที่ใคร ฉะนั้นไม่ว่าใครก็ตามอย่าทิ้งรัฐบาลและ คสช.ไว้ข้างหลัง ในเมื่อท่านไปกันหมดแล้วมาบอกให้รับไปแบบนี้ไม่ได้ ต้องช่วยกัน
พล.อ.ประยุทธ์ยังกล่าวถึงเรื่องการขนส่งทางรางว่า กรมการขนส่งทางรางจะตั้งได้หรือไม่ เพราะต้องทำหน้าที่ควบคุมการขนส่งทางรางทั้งหมด การลงทุนต่างๆ กรมนี้จะทำหน้าที่ควบคุมทั้งหมด เป็นการลดภาระของหน่วยงาน ทุกคนต้องช่วยกัน ไม่ใช่ตั้งมาแล้วสุดท้ายสหภาพฯ ก็ไม่เอาด้วย อย่างนี้ไปไหนไม่ได้ ตรงนี้เป็นเรื่องของทั้งประเทศ อย่าขัดแย้งในเรื่องเหล่านี้ เพราะเป็นเรื่องการจัดทำโครงสร้างพื้นฐาน ถ้าโครงสร้างไม่เกิด อย่างอื่นก็ไม่เกิด
“สังคมต้องเรียนรู้ ที่เราต้องทำวันนี้เพราะวันหน้ารถจะได้ไม่ติด หรือจะให้ติดอย่างนี้ตลอดไป ผมจะได้ไม่ต้องสร้าง ที่จะทำมีทั้งรถไฟฟ้า รถไฟทางคู่ รถไฟโมโนเรล ทางด่วนต่างๆ ก็ต้องทำไปให้เสร็จมากที่สุด อย่ามองว่ารัฐบาล หรือผมหรือใครได้ประโยชน์ ถ้ามองอย่างนั้นก็ไปหาหลักฐานมา ผมจะตรวจสอบให้ทั้งหมด” พล.อ.ประยุทธ์กล่าว
นายกฯ กล่าวว่า วันนี้หนักใจมีหลายคนมาบอกว่าอยากเอาคนนั้นคนนี้ออก ถามว่าแล้วจะเอาใครทำ มีไหม เสนอตัวมาที่จะเป็นรัฐมนตรี มาแล้วถูกตรวจสอบเลอะเทอะไปหมด ต้องแสดงบัญชีทรัพย์สิน ถูกตรวจสอบทรัพย์สิน ห้ามประกอบธุรกิจ ถ้าอยากเป็นรัฐมนตรีต้องยอมให้ตรวจสอบทุกอย่าง ถูกกล่าวหาประวัติ ทุกอย่างใส่ร้ายป้ายสีได้เยอะ เพราะฉะนั้นต้องเสียสละ มาเป็นรัฐมนตรีรับเงิน 1 แสนบาท ไม่มีรายได้อื่น วันนี้รัฐมนตรีถูกให้ตนย้ายทุกวัน ปัญหามันเยอะ ไม่ได้อยู่ที่รัฐมนตรี ไม่เช่นนั้นก็ปรับเปลี่ยนรัฐมนตรีทั้งหมด เปลี่ยนนายกฯ ด้วย เพราะตนต้องรับผิดชอบ เพราะนั่งทำงานด้วยกันทั้งหมด
“ไม่ใช่ผมทำคนเดียว ไม่ใช่ทุกคนชอบแต่ลุงตู่ ไม่ชอบรัฐมนตรีเลยสักคน แล้วผมจะอยู่กับใคร ใครจะทำ ให้กำลังใจกันบ้าง ถ้ามันมีหลงหูหลงตาบ้าง ไม่ใช่รัฐมนตรีโลกลืม ก็คุณไม่ฟัง ฟังแต่ผมคนเดียว แล้วก็คุณก็บ่นผมทุกวัน ถามรัฐมนตรีทำไมไม่พูด เขาบอกพูดทุกวัน แต่ไม่มีใครฟัง สื่อเป็นอย่างนี้ ไปโทษเขาไม่ได้ ท่านต้องพูดแบบผม” นายกฯ กล่าว
ทั้งนี้ ช่วงท้ายนายกฯ กล่าวว่า ขอฝากภารกิจนี้ไว้กับคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติ และคณะกรรมการปฏิรูปประเทศชุดใหม่สานต่อภารกิจที่เหลืออีกครึ่งหนึ่งให้สำเร็จ อยากให้ทุกคนให้กำลังใจ ขอให้ปรบมือให้แก่คณะรัฐมนตรี (ครม.) สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) และ สปท. และปรบมือให้ตัวเองทั้งหมด ขอบพระคุณอีกครั้ง ไม่มีการตำหนิซึ่งกันและกัน เลิกแล้วต่อกัน มีหน้าที่ก็ทำกันต่อไป ทุกท่านคือผู้ที่เริ่มกับตนตรงนี้ วันนี้ปัญหาของโลกใบนี้ ความมั่นคง ความขัดแย้ง สงครามก่อการร้ายสุดโต่ง ปัญหาสังคม การศึกษา โรคระบาด การแบ่งขั้วแบ่งฝ่าย เป็นปัญหาที่ต้องเจอ เราต้องลดความขัดแย้งให้มากที่สุด หามาตรการทำทุกอย่างให้ลดความขัดแย้งในประชาชนให้ได้ ขอฝากให้ระวังการใช้สื่อโซเชียลมีเดียด้วยว่า ก่อนจะเชื่อให้ใช้สติปัญญาคิดให้ดี
“หลายเรื่องของผมก็โดนเยอะ ไม่เป็นไร สู้ได้ เพราะผมคิดว่าผมยังไม่ได้ทำอะไรผิด ผิดอยู่วันเดียววันที่ 22 พ.ค. 57 ผิดวันเดียวเอง” นายกฯ กล่าว