โฆษกคณะรักษาความสงบแห่งชาติ อ้างฝนตกหนักทำระบายน้ำตอบสนองไม่ทันการ ยันแจ้งเตือนสภาพอากาศเป็นระยะ จวกบางพวกอาศัยความเดือดร้อนชาวบ้านเป็นประเด็น ยันครั้งนี้ต่างจากปี 54 ด้าน รองโฆษกกองทัพบก สรุปสถานการณ์ เผยยังช่วยต่อเนื่อง
วันนี้ (30 ก.ค.) พ.อ.วินธัย สุวารี โฆษกคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เปิดเผยว่า กรณีที่มีฝนตกลงมาอย่างหนักในบางพื้นที่ในปริมาณมากเกิน ส่งผลให้การระบายน้ำในระบบทางธรรมชาติตอบสนองไม่ทันการภายในเวลาที่ต้องการ จึงส่งผลกระทบ ซึ่งเป็นเรื่องที่สามารถเข้าใจได้โดยหลักธรรมชาติ แต่ที่ผ่านมา สำหรับทุกเหตุการณ์เมื่อจะต้องเผชิญหน้าภัยพิบัติ ภาครัฐได้ดำเนินการตามแนวทาง หลักๆ มี 2 ขั้น คือ ขั้นการแจ้งเตือนและเตรียมการ กับ ขั้นเผชิญสถานการณ์ ในขั้นการแจ้งเตือน
พ.อ.วินธัย กล่าวอีกว่า จะเห็นว่า ทางรัฐบาล และ คสช. ได้มีการแจ้งเตือนเรื่องข่าวสภาพอากาศกันมาอยู่เป็นระยะๆ ในหลายพื้นที่เสี่ยงจากข้อมูลที่ได้ประเมินมาตามระบบ มีเป้าหมายหลัก 2 กลุ่ม คือ กลุ่มประชาชนที่อยู่ในพื้นที่เสี่ยงที่อาจได้รับผลกระทบในการเตรียมรับมือ กับกลุ่ม จนท. ที่จะต้องเตรียมการให้ความช่วยเหลือประชาชน ผู้ได้รับผลกระทบ มีการเตรียมทั้งคนบุคลากร และเครื่องมือ เครื่องใช้สิ่งของจำเป็นต่อการช่วยเหลือ เพื่อให้มีการเตรียมการรับมือ ส่วนขั้นเผชิญหน้ากับสถานการณ์ เป้าหมายก็เพื่อพยายามจะลดระดับความรุนแรงในเรื่องผลกระทบที่จะเกิดกับประชาชนด้วยการระดมสรรพกำลังเข้าช่วยเหลือบรรเทาความเดือดร้อนผู้ได้รับผลกระทบผ่านรูปแบบต่างๆ ซึ่งครั้งนี้ใครที่ติดตามข่าวจะเห็นได้ว่าทุกๆ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้พยายามทำกันอย่างเต็มที่ โดยเฉพาะผู้บังคับบัญชาได้ติดตามสถานการณ์อยู่ตลอด 24 ชั่วโมง
“เนื่องจากเกรงว่าอาจผู้ที่ไม่เข้าใจ หรือผู้ที่ไม่หวังดี พยายามจะไปเข้าใจในทำนองคลาดเคลื่อนว่า รัฐบาลไม่ได้มีการแจ้งเตือน ปชช. นั้น ซึ่งอาจเป็นเพียงความเห็นส่วนบุคคล คนส่วนใหญ่สามารถใช้วิจารณญาณได้จากข้อเท็จจริงจากที่เห็นและเป็นอยู่ เพราะการให้ข้อมูลในบางลักษณะอาจทำให้สังคมเข้าใจได้ว่า อาจมีเรื่องการเมืองผสมมาด้วย อย่างในหลายๆ เรื่องที่ผ่านมา โดยเฉพาะอาศัยสถานการณ์ความทุกข์ร้อนของประชาชนมาเป็นประเด็น แต่ก็เชื่อว่าปัจจุบันนี้สังคมมักจะมองออก” พ.อ.วินธัย กล่าว
โฆษก คสช. กล่าวว่า อุทกภัยครั้งนี้ มีความต่างอย่างมากกับเมื่อครั้งปี 54 เพราะครั้งนั้นปริมาณฝนไม่ได้ตกมาในลักษณะฉับพลันแบบนี้ แต่เกิดจากปริมาณน้ำสะสมมีมากเกิน เนื่องจากระบบบริหารจัดการเกี่ยวกับการระบาย สังเกตได้ว่า ช่วงนั้นขณะที่เกิดเหตุอุทกภัยในแต่ละพื้นที่ ไม่ได้มีฝนตกลงมาแล้วเหมือนครั้งนี้ อย่างไรก็ตาม นายกรัฐมนตรี และ หน.คสช. ได้ให้กำลังใจและขอขอบคุณ จนท. รัฐ ทั้งฝ่ายพลเรือน ตำรวจ ทหาร รวมถึงภาคเอกชน ทุกคนที่ได้ช่วยกันอย่างไม่เห็นแก่เหน็ดเหนื่อยเพื่อพี่น้องประชาชน
ทางด้าน พ.อ.หญิง ศิริจันทร์ งาทอง รองโฆษกกองทัพบก กล่าวว่า กองทัพบกยังคงดำรงความช่วยเหลืออย่างต่อเนื่องในหลายจังหวัดที่ประสบอุทกภัย โดยได้อพยพประชาชน ขนย้ายสิ่งของ, การช่วยป้องกันน้ำที่ล้นทะลัก การดูแลเส้นทางสัญจรที่ถูกตัดขาด การส่งชุดแพทย์เข้าให้ความช่วยเหลือ การจัดอาหารสดและถุงยังชีพให้กับผู้ประสบภัย ล่าสุด ในวันนี้ ผู้บัญชาการทหารบก สั่งการให้ส่งเฮลิคอปเตอร์ลำเลียงแบบ MI 17 จากศูนย์การบินทหารบก เดินทางไปสนับสนุนการคลี่คลายสถานการณ์น้ำท่วมในพื้นที่วิกฤต
รองโฆษกกองทัพบก กล่าวว่า สำหรับความช่วยเหลือในรายพื้นที่ มีดังนี้ ที่ จ.สกลนคร ปริมาณน้ำยังคงท่วมอยู่ในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะ ใน อ.เมือง ซึ่งประชาชนส่วนใหญ่ได้รับการช่วยเหลือจากส่วนราชการต่างอย่างเต็มที่ ภาพรวมความเสียหายทั้ง 18 อำเภอ พบผู้ประสบภัยกว่า 6,858 ครัวเรือน 25,799 คน พื้นที่การเกษตรเสียหาย 23,331 ไร่ สิ่งสาธารณประโยชน์เสียหาย 3 แห่ง ทั้งนี้ กองทัพภาคที่ 2 ได้เสริมกำลังทหารจากจังหวัดใกล้เคียงและกองพลทหารม้าที่ 3 จังหวัดขอนแก่น รวมทั้งได้ส่งทหารช่างจากกองพันทหารช่างที่ 202 จังหวัดนครราชสีมา พร้อมเครื่องมือช่างเพิ่มเติมเข้าไปที่ สกลนคร เพื่อเปิดเส้นทางสัญจร สร้างสะพาน
โดยตลอดทั้งวัน ทุกภาคส่วนได้ร่วมกันดูแลประชาชนต่อเนื่อง มีการจัดเรือท้องแบน 50 ลำ แบ่งเป็น 6 สาย ออกแจกจ่ายถุงยังชีพในเขตเทศบาลนครสกลนคร จัดกระสอบทรายป้องกันเครื่องปั่นไฟของโรงพยาบาล ขณะที่ มณฑลทหารบกที่ 29 จัดชุดแพทย์เคลื่อนที่ จาก รพ.ค่ายกฤษณ์สีวะรา บริการออกช่วยเหลือผู้ประสบภัย ณ ร.ร.อนุบาลสกลนคร อำเภอเมือง ซึ่งมีผู้พักอาศัย 400 ครัวเรือน ส่วนชุดบรรเทาสาธารณภัยกองพันพัฒนาที่ 2 เข้าช่วยเคลื่อนย้ายประชาชนจากตัวเมืองมายังศูนย์อพยพชั่วคราว ณ ศาลากลางจังหวัด โดยมีผู้ประสบอุทกภัย ณ ศูนย์อพยพทั้ง 5 ศูนย์จังหวัดสกลนคร จำนวน 821 คน นอกจากนี้ กองทัพภาคที่ 2 ยังส่ง รถครัวสนาม ตั้งจุดบริการอาหารและน้ำดื่มบริเวณอบจ.หลังเก่า อ.เมือง สำหรับการอำนวยความสะดวกประชาชนที่ต้องเปลี่ยนจากสนามบินสกลนครมาลงที่สนามบินนครพนมนั้น กองพันทหารราบที่ 3 กรมทหารราบที่ 3 ได้จัดกำลังพลพร้อมรถบรรทุกขนาดใหญ่บริการ รับ - ส่งประชาชนไปยัง จ.สกลนคร ทั้งนี้ ศูนย์บัญชาการเหตุการณ์ส่วนหน้า ศาลากลางจังหวัดสกลนคร โดยมีผู้ว่าราชการจังหวัดสกลนคร, มณฑลทหารบกที่ 29 และส่วนราชการทุกภาคส่วน ยังคงติดตามสถานการณ์น้ำและบูรณาการช่วยเหลือให้เป็นไปอย่างรวดเร็วและครอบคลุมพื้นที่มากที่สุด จ.นครพนม มวลน้ำจาก จ.สกลนคร กำลังไหลจากหนองหารไปยัง ลุ่มน้ำก่ำ อ.นาแก จ.นครพนม เพื่อไหลลงสู่แม่น้ำโขง ทำให้บริเวณ ต.พิมาน ซึ่งติดกับลำน้ำก่ำและลำน้ำบัง อ.นาแก จ.นครพนม ระดับน้ำเริ่มเอ่อท่วมพื้นที่การเกษตร ซึ่ง มณฑลทหารบกที่ 210 จัดกำลังพล รถบรรทุก เรือท้องแบน ร่วมกับ อ.นาแก เข้าช่วยเหลือประชาชนโดยตั้งศูนย์บรรเทาสาธารณภัยและช่วยเหลือประชาชน ณ ที่ว่าการอำเภอนาแก
จ.มุกดาหาร กรมทหารราบที่ 3 ร่วมกับ กกล.สุรศักดิ์มนตรี และส่วนราชการ อ.หว้านใหญ่ ให้การช่วยเหลือในขั้นต้น ขนย้ายสิ่งของและกรอกกระสอบทราย เพื่อกั้นน้ำที่กำลังจะไหลเข้ามาท่วมบ้านเรือนประชาชนในพื้นที่ บ.โคกสวาท ม.9 และ บ.นาดี ม.4 ต.ป่งขาม อ.หว้านใหญ่ ซึ่งกระแสน้ำได้ไหลทะลักข้ามถนน เข้าท่วมบ้านเรือนราษฎร ประมาณ 9 หลัง และวัด 1 แห่ง ระดับน้ำ 30 ซม.
ที่ จ.สุโขทัย สถานการณ์น้ำผุดลอดใต้พนังกั้นน้ำบริเวณหลังวัดไทยชุมพล อ.เมือง คลี่คลายลงแล้ว หลังจากกองทัพภาคที่ 3 ได้ส่งกำลังทหารและเครื่องมือช่างเร่งเข้าแก้ไข เมื่อวันที่ 28 ก.ค. ที่ผ่านมาขณะนี้การซ่อมแซมเสร็จสิ้นแล้ว ส่วนการบรรเทาความเดือดร้อนประชาชนยังคงดำเนินการต่อเนื่อง
ที่ จ.เพชรบูรณ์ ในพื้นที่ บ.วังรู ต.สักหลง อ.หล่มสัก ได้เกิดน้ำไหลหลาก และน้ำล้นตลิ่ง เข้าท่วมบ้านเรือนประชาชน มณฑลทหารบกที่ ๓๖ ส่งกำลังพล ชุดแพทย์เคลื่อนที่ พร้อมยานพาหนะ เข้าขนย้ายคนและสิ่งของ บริการรับส่ง รักษาพยาบาลเบื้องต้นทันที
จ.กาฬสินธุ์ กรมทหารม้าที่ 6 ยังคงใช้เรือท้องแบนนำอาหารและน้ำดื่มไปมอบให้กับประชาชน 150 ครัวเรือน ที่น้ำเข้าท่วมที่อยู่อาศัยไม่สามารถออกจากบ้านได้ บริเวณชุมชนริมแก่งดอน ในขณะที่ กองพันทหารม้าที่ 14 กรมทหารม้าที่ 7 เข้าตรวจสอบพื้นที่น้ำท่วมซ้ำซากและช่วยเหลือขนย้ายสิ่งของเครื่องใช้ ที่ ต.สมเด็จ อ.สมเด็จ
จ.บุรีรัมย์ มณฑลทหารบกที่ 26 ร่วมกับ อบต.พุทไธสง เเละประชาชนในพื้นที่ช่วยขนย้ายสัตว์และสิ่งของที่ถูกน้ำท่วม และก่อกระสอบทรายทำพนังกั้นน้ำไม่ให้ไหลท่วมบ้านเรือนในพื้นที่ บ.กอก ม.9 และ บ.แดงใหญ่ ม.8 ต.พุทไธสง อ.พุทไธสง
จ.มหาสารคาม ระดับน้ำยังคงท่วมสูงใน ต.พังแดง และ ต.หนองแคน กองพันทหารราบที่ 1 กรมทหารราบที่ 3 ได้จัดชุดหมอเดินเท้าเข้าตรวจรักษาพยาบาลในเบื้องต้น ส่วนในพื้นที่ ต.ป่งขาม อ.หว้านใหญ่ ระดับน้ำ 30 ซม. เข้าท่วมบ้านเรือนประชาชนและวัดที่ บ.โคกสวาท ม.9, บ.นาดี ม.4 และ สะพานใน ต.บ้านเป้า อ.หนองสูง ถูกตัดขาดไม่สามารถสัญจรได้ ขณะนี้หน่วยทหารได้ร่วมกับส่วนราชการในพื้นที่ ขนย้ายสิ่งของ และกรอกกระสอบทรายป้องกันน้ำไหลเข้าท่วมเพิ่มเติมและซ่อมแซมสะพานแล้ว
ทั้งนี้ ศูนย์บรรเทาสาธารณภัยกองทัพบกจะยังคงติดตามสถานการณ์น้ำและประสานการทำงานกับส่วนราชการอย่างใกล้ชิด เพื่อเร่งคลี่คลายเหตุการณ์และบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนโดยเร็ว