ข่าวปนคน คนปนข่าว
** กรรมซัด “พล.ต.ท.เทศา ศิริวาโท”พัวพันเซ้งลี้เก้าอี้ตำรวจ ก่อนพ้นหน้าที่ตำรวจราชสำนักเวร
เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไม่เลิก "บิ๊กจ๋อน" พล.ต.ท.เทศา ศิริวาโท ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 8 (ผบช.ภ.8) ที่ถูกคำสั่ง “เด้งฟ้าฝ่า”ให้เข้ามาช่วยราชการที่ศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปก.ตร.) จากปมเซ้งลี้เก้าอี้ตำรวจในพื้นที่ บช.ภ.8 ที่เป็นผลมาจากคนกันเองอย่าง วิทยา แก้วภราดัย แกนนำ กปปส. ออกมาเปิดโปง จนแจ๊กพอตมาตกที่ “บิ๊กจ๋อน” .. แม้ผลการสอบสวนการซื้อขายตำแหน่งในการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการตำรวจวาระประจำปี 2559 โดย "บิ๊กเม่น" พล.ต.อ. ปัญญา มาเม่น จเรตำรวจแห่งชาติ (จตช.) ยังไม่ออกมา หลัง “บิ๊กเม่น”ขอขยายระยะเวลาการสอบสวนไปอีก 30 วัน จากที่ครบกำหนดเมื่อปลายเดือนมิ.ย.ที่ผ่านมา .. ซึ่งถูกมองว่าเป็นการเตะถ่วง รอระฆังหมดยกของทางฝ่ายตำรวจ ที่รอเรื่องเงียบเพื่ออุ้มพวกเดียวกันเองเท่านั้น เนื่องจาก“บิ๊กจ๋อน”กำลังจะเกษียณในอีก ไม่กี่เดือนข้างหน้านี้ .. แต่ในขณะที่รอผลสอบสวนอยู่นั้น ก็มีพระราชโองการโปรดเกล้าฯให้ “บิ๊กจ๋อน”พ้นหน้าที่ตำรวจราชสำนักเวรมาก่อน .
** ประวัติศาสตร์หน้าใหม่เลือก “ประมุขตุลาการ”ไม่นับหลักอาวุโส ยึดเป็นบรรทัดฐานหรือแค่เฉพาะกิจ เปิดทาง“ชีพ จุลมนต์”นอนมาขึ้นเบอร์ 1 ฝ่ายตุลาการ
เป็นไปตามกระแสข่าวก่อนหน้านี้เมื่อ คณะกรรมการตุลาการ (กต.) มีมติ "เป็นเอกฉันท์" ไม่เห็นชอบแต่งตั้ง ศิริชัย วัฒนโยธิน ประธานศาลอุทธรณ์ ขึ้นดำรงตำแหน่งประธานศาลฎีกา เนื่องจากเป็น “ผู้ที่ไม่เหมาะสม”ที่จะดำรงตำแหน่ง .. สอดคล้องกับมติของ อนุกรรมการตุลาการ (อนุกต.) ที่มีมติ“ไม่เห็นด้วย” ที่จะเสนอชื่อ“ศิริชัย”ก่อนหน้านี้ด้วยเสียงถึง 19 ต่อ 1 .. โดย สืบพงษ์ ศรีพงษ์กุล โฆษกศาลยุติธรรม ชี้แจงว่า ก.ต.เห็นว่า การพิจารณาแต่งตั้งผู้บริหารจะต้องคำนึงถึง “ความรู้ความสามารถในการบริหารงานศาล ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าหลักอาวุโส” .. ถือเป็นประวัติศาสตร์หน้าใหม่ขององค์กรตุลาการที่ “ผู้ที่อาวุโสสูงสุด”ไม่ได้เป็น “ประธานศาลฎีกา”ที่เป็นตำแหน่งเบอร์ 1 ของฝ่ายตุลาการ .. ซึ่งก็ยังไม่แน่ชัดว่าจะเป็น “บรรทัดฐาน”ในครั้งต่อๆไป หรือเป็นเพียง“บรรทัดฐานเฉพาะกิจ”ที่ถูกหยิบมาใช้ในครั้งนี้เท่านั้น .. เมื่อชื่อ“ศิริชัย”ตกไป ขั้นตอนต่อไปก็ต้องกลับไป“เริ่มนับหนึ่งใหม่”โดยให้ สำนักงานศาลยุติธรรม ทำบัญชีเสนอผู้เหมาะสมขึ้นมาใหม่ และต้องผ่านการพิจารณาของอนุ กต.เช่นเดิม .. แต่ก็ว่ากันว่า คนที่จะถูกเสนอชื่อเป็น “ประธานศาลฎีกาคนที่ 44” หนีไม่พ้น "ชีพ จุลมนต์" รองประธานศาลฎีกา อาวุโสอันดับ 1 ที่เผอิญได้ออกจากห้องประชุม ระหว่างการอภิปรายกรณีการแต่งตั้ง“ศิริชัย”ตามมารยาทด้วย
** กสทช.หลบไป!! สปท.ชงล้อมคอก“สื่อโซเชี่ยล”จัดยาแรงสแกนลายนิ้วมือ-ใบหน้า ลงทะเบียนมือถือก่อนออนไลน์ ไอเดียไดโนเสาร์ ยุค 4.0
ทำเอา กสทช.ที่ “เบ่งกล้าม-แยกเขี้ยว”ยึดเอา OTTมากำกับดูแล แล้วไปงัดข้ออยู่กับ FACEBOOK-YouTube อยู่ตอนนี้ ดูกระจอกไปเลย .. เมื่อคณะกรรมาธิการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ด้านการสื่อสารมวลชน ของสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) ที่มีพล.อ.อ.คณิต สุวรรณเนตร เป็นประธาน และมี พล.ต.ต.พสิษฐ์ เปาอินทร์ เป็นรองประธาน เสนอรายงาน“ปฏิรูปการใช้สื่อโซเชียลมีเดีย”ต่อที่ประชุม สปท. และที่ประชุมก็มีมติ 144 ต่อ 1 คะแนน แทบจะ เอกฉันท์ เห็นชอบกับรายงานฉบับดังกล่าว เตรียมส่งต่อให้ครม.พิจารณาต่อไป ..
ที่ว่ามาตรการตีกรอบ OTT ของ กสทช. ดูกระจอกไปเลย ก็ในรายงานของ สปท. มีการเสนอวิธีควบคุมการเข้าถึงโซเชียลมีเดียต่างๆผ่าน “โทรศัพท์มือถือ”โดยการ “สแกนลายนิ้วมือ-ใบหน้า-เลขบัตรประชาชน”ประกอบการลงทะเบียนมือถือใหม่กับทาง กสทช. จากเดิมที่ใช้เพียงบัตรประชาชนเท่านั้น .. ทางกรรมาธิการฯบอกด้วยว่า เป็นโมเดลเดียวกับที่ทดลองใช้ใน“จังหวัดชายแดนภาคใต้”มาแล้ว ก็เลยถูกถามกลับว่าแล้วในจังหวัดชายแดนใต้ มันได้ผลไหมล่ะ .. ไม่เท่า นั้นยังถูกกระแซะด้วยว่า ใครจะลงทะเบียน FACEBOOK ใหม่ อาจต้องเตรียมเอกสารไปยื่นที่สำนักงานเขต-ที่ว่าการอำเภอ เพื่อขอความเห็นชอบจาก“ผู้ว่าฯ” ก่อนกระมัง .. และแม้จะเป็นเพียงผลการศึกษา ยังไม่ชัดเจนเรื่องการบังคับใช้ แต่ก็ได้รับการสรรเสริญจากชาวโซเชียลอื้ออึงว่า“ผู้ใหญ่ในบ้านเมือง”ขยันแต่เรื่อง....แบบนี้จริง..จริ๊ง .. ขนาด กษิต ภิรมย์ สมาชิก สปท. ที่คาดว่าเป็น 1 เสียงที่ค้านรายงานฉบับนี้ ยังอภิปรายในที่ประชุมว่า ข้อเสนอแต่ละข้อเหมือน“ขี่ช้างจับ ตั๊กแตน”อ่านแล้วจับในความไม่ได้ว่าจะแก้ไขปัญหาการใช้สื่อโซเชี่ยลมีเดีย ยังไง
ไม่ใช่แค่ยุทธวิธีตีกรอบที่ได้รับการชื่นชมกระหึ่มโซเชี่ยลฯ เท่านั้น ข้อเสนออื่นๆ ก็แหลมคมไม่แพ้กัน ทั้งการเสนอให้รัฐบาลส่งเสริมให้มีการผลิตซอฟต์แวร์ ที่ใช้งานในสื่อโซเชียลมีเดียเป็นของตัวเอง หรือการสร้าง “แพลตฟอร์ม”ใช้เองภายในประเทศ ไม่พึ่งพาแต่โซเชียลมีเดียของต่างชาติ ซึ่งมีช่องว่างด้านการกำกับดูแลที่กฎหมายไทยเข้าไม่ถึง .. เป็นข้อเสนอที่ดูจะรับลูกจากทาง กสทช. บังเอิญอย่างร้ายกาจ ก็เมื่อเดือนก่อน พล.อ.อ.ธเรศ ปุณศรี ประธาน กสทช. ก็เพิ่งยกคณะไปเยือนประเทศรัสเซีย แล้วมีการได้ลงนามความร่วมมือ (MOU)กับกระทรวงโทรคมนาคมของรัสเซีย ในเรื่องการขอให้รัสเซียช่วยแพลตฟอร์ม-โซเชียลเน็ตเวิร์ก-เสิร์ชเอนจิ้น-โปรแกรมแชต เพื่อใช้ในประเทศของตัวเอง .. ที่เป็นปี่เป็นขลุ่ยกันขนาดนี้ ก็ก่อนหน้าที่พล.อ.อ.คณิต จะมาเป็น สปท. เคยเป็นเลขานุการ พล.อ.อ.ธเรศ ที่ กสทช.มาก่อน ไอเดียเลยถอดกันมาแบบ เป๊ะๆ .. นอกจากนี้กรรมาธิการยังเสนอให้ตั้ง“ศูนย์กลางเฝ้าระวังการใช้โซเชี่ยลมีเดีย-ศูนย์กลางบริหารจัดการข้อมูลผู้ใช้โทรศัพท์มือถือ”ขึ้นมาอีก ซึ่งอาจจะหลงลืมไปว่า ตอนนี้กี่หน่วยงานแล้วที่ตั้ง “ศูนย์ไซเบอร์”มาสู้กับแฮกเกอร์ หรือเวบหมิ่นฯ ที่สุดก็ไม่มีปัญญาไปทำอะไรได้ ทั้งที่ละเลงงบประมาณกันไปมหาศาล .. อดสงสัยไม่ได้ว่า คนที่เสนอมาแต่ละไอเดีย เคยเล่นโซเชี่ยลฯ บ้างหรือเปล่า ?? แล้วสมัคร FACEBOOK เป็นไม๊ ??
**“โยนหินถามทาง-แทงกั๊ก”จนเคยตัว พอโดนจับได้ไล่ทัน“ลุงตู่”ก็งัดมุกรูดซิบปาก หลบกระแสการเมืองร้อนๆ
เรื่องของโผ้มมมม .. เป็นคำตอบของ “นายกฯลุงตู่”พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา กับคำถามที่หลายฝ่ายอยากรู้ว่า นายกฯ จะลงเลือกตั้งไหม หลังจากที่มีผลโพลเชลียร์.. เอ๊ยย.. เชียร์ให้รัฐบาล คสช.ตั้งพรรคการเมือง เพื่อสืบสานแนวนโยบายของคสช.หลังการเลือกตั้ง .. ดูท่า “ลุงตู่”จะหงุดหงิดไม่น้อย กับคำถามเรื่องการลงเลือกตั้งของตัวเอง ที่ถูก “ฝ่ายการเมือง”นำมา “ตีกิน”เชียร์ให้ลงเลือกตั้ง ทั้งที่รู้อยู่ว่าติดล็อกในรัฐธรรมนูญ ที่ไม่ให้สมาชิก คสช. ลงเลือกตั้ง หากไม่ลาออกภายใน 90 วัน หลังรัฐธรรมนูญ 2560 ประกาศใช้ ที่จะถึงเดดไลน์ในวันนี้แล้ว .. ซึ่งหากฟ้าไม่ถล่ม แผ่นดินไม่ทลาย ยังไงซะ “บิ๊กตู่”คงไม่ทิ้งเก้าอี้นายกฯกลางคันไปตอนนี้หร๊อกก .. โทษใครไม่ได้ก็ต้องโทษตัวเอง ที่พูดจาคลุมเครือ ปล่อยให้มีการตีความบานปลาย ไม่ชี้ชัดฟันธงว่าลง-ไม่ลง หรือเลือกตั้งเมื่อไร ก็เฉไฉไปว่า ตามโรดแมปในรัฐธรรมนูญ ไม่เคยกล้าพูดวัน ว. เวลา น. สร้างความกระจ่างอะไรเลย
อย่างคำตอบล่าสุดที่ว่า “เป็นเรื่องของผม”ที่เจ้าตัวบอกว่า“ชัดเจน”ฟังยังไง๊..ยังไง มันก็ไม่ชัดเจน แทงกั๊กเหมือนเดิม แค่เติมอารมณ์บูดบึ้งประมาณ “ปั๊ดโธ่ ถามกันอยู่ได้”ลงไปหน่อย สื่อจะได้ไม่ต้องไปเซ้าซี้อีก .. ก็เหมือนกับเรื่องคสช. ตั้งพรรคการเมือง ก่อนหน้านี้พูดเป็นมั่นเป็นเหมาะว่า ไม่มีแน่นอน พอเวลาผ่านไปหน่อย มีโพลเสียงปริ่มๆ ออกมาสนับสนุนหหน่อย คำตอบก็แปร่งไป เติมคำว่า“ยัง” เข้ามาหน้าประโยคว่า ยังไม่คิดตอนนี้ อยู่ที่สถานการณ์-อนาคต ออกแนว “โยนหินถามทาง”ไปอีก .. พอถูกเอามาเป็นประเด็นเข้าหน่อย ก็ “ตึ๊ดชึ่ง”แบะท่าจะสวมวิญญาณ “เตมีย์ใบ้”อีกครั้ง เห็นคราวนี้บอกว่า จะหยุดพูดสักเดือน หลังจากที่หนก่อนก็บอกจะงด 2-3 สัปดาห์ มาทรง ท่าจะ“อาการหนัก”คิดไม่ออก บอกไม่ถูก ก็ใช้“วิธีรูดซิบปาก”หลบกระแสการเมืองร้อนๆ
** โพสต์ได้ไม่ถึง 24 ชม. กราฟฟิก-คลิป “กลอนประเทศไทย 4.0”บทประพันธ์ “สุนทรตู่”หายไปจาก“เพจกระทรวงศึกษาฯ”ไร้ร่องรอย
พาลไปถึงเรื่อง “กลอนประเทศไทย 4.0”ที่ “สุนทรตู่”บรรจงประพันธ์ออกมา เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ ทั้งบรรดากองเชียร์-ฝ่ายต่อต้าน กลายเป็น “ดราม่า”ไปอีก .. แค่ “นายกฯตู่”ไม่ออกมาพูดล่อเป้า คงไม่พอ ต้องไปปราม“ลูกน้อง-ลิ่วล้อ”ให้เลิก “หางาน”ให้ด้วย ทั้งเรื่องออกกฎหมาย ทะเล่อทะล่า จนวุ่นวายทั้งแผ่นดิน .. งานประชาสัมพันธ์ภาครัฐ แถลงผิด แถลงถูก มั่วซั่วเหมือนเด็กเล่นของเล่น .. หรือกระทั่งพวกงานการไม่ทำ เอาแต่แผล่บ เชลียร์ไปวันๆ อย่าง “กลอนประเทศไทย 4.0”ที่วันก่อนไปโผล่บนแฟนเพจ FACEBOOK “กระทรวงศึกษาธิการ”มีการทำเป็นกราฟิกประกอบรูป“ลุงตู่”ในอิริยาบถต่างๆ ชาวโซเชี่ยลฯ ก็แชร์กันอึ้งอือ วิจารณ์สาดเสียเทเสีย ทั้งว่าไม่ถูกฉันทลักษณ์ กาพย์โคลง แถมยังเป็น “พรอพพากันดา”โบราณคร่ำครึ ยุคไดโนเสาร์ .. ไม่เท่านั้นยังมีการนำ “บทกลอนสุนทรตู่”ไปทำเป็นคลิป ขับเสภาอีกด้วย แบบว่า“นิวมีเดีย”เหมาะกับยุค 4.0 มั่กมาก .. แต่ใครอยากชม ก็ต้องบอกว่า เสียใจด้วย ก็เห็นแชร์กันอยู่ไม่ถึง 24 ชั่วโมงดี ก็อันตรธานหายไปจากหน้าเพจกระทรวงศึกษาฯ ในกำกับของ “หมอจูโด้”นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รมว.ศึกษาฯ อย่างไร้ร่องรอย .. ไม่ต้องเดาให้เสียเวลา คงมีคนสั่งให้ลบโพสต์ออก ก็ล่อเป้าซะขนาดนั้น โดนด่าเยอะ จนสำนึกไม่ทัน .. เฟส 2 ที่จะดันเข้าหลักสูตรให้เด็กนักเรียนท่องแบบ“ค่านิยม 12 ประการ”ก็เลยต้องพับไปด้วยล่ะซี๊
ช.ชฎา