รองประธาน สปท.แจงปมค้านยุทธศาสตร์ชาติ แนะพรรคการเมืองดูตัวอย่างยุทธศาตร์ชาติ 30 ปีของมาเลเซีย ชี้โลกเปลี่ยนเร็วจะบริหารประเทศโดยไร้ทิศทางไม่ได้ ไม่งั้นจะไม่ก้าวสู่ไทยแลนด์ 4.0 ยันมีการรับฟัง ปชช. ไม่ได้มัดมือ รบ.จนกำหนดนโยบายไม่ได้
วันนี้ (28 มิ.ย.) นายอลงกรณ์ พลบุตร รองประธานสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ คนที่ 1 กล่าวว่า ตนเข้าใจและเห็นใจนักการเมืองและนักวิชาการบางส่วนที่แสดงท่าทีไม่เห็นด้วยหรือเห็นด้วยแต่กังวลจะปฏิบัติยากในเรื่อง พ.ร.บ.ยุทธศาสตร์ชาติเพราะยังติดกรอบความคิดและการบริหารแบบเดิมๆ แต่ถ้าเราไม่ปฏิรูปการบริหารจัดการประเทศด้วยแนวทางใหม่ๆ โดยไม่เปลี่ยนแปลงบ้างแล้วจะปฏิรูปเดินหน้ายกระดับอัปเกรดประเทศสู่ไทยแลนด์ 4.0 ได้อย่างไร วันนี้โลกเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วจึงต้องบริหารประเทศอย่างมีทิศทางและเป้าหมายภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติจะพัฒนาประเทศแบบสะเปะสะปะไร้ทิศทางไร้เป้าหมายอีกต่อไปไม่ได้แล้ว
นายอลงกรณ์กล่าวต่อว่า ในอดีตประเทศไทยมียุทธศาสตร์การพัฒนาสั้นมาก คือ มีแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติระยะ 5 ปี มีนโยบายของรัฐบาล 4 ปีเท่านั้นยังไม่มียุทธศาสตร์ชาติที่กำหนดเป้าหมายและแนวทางการพัฒนาประเทศระยะยาวจึงทำให้การพัฒนาประเทศต่ำกว่าศักยภาพแถมเวลาเปลี่ยนรัฐบาลทีก็เปลี่ยนนโยบายทีทำให้การพัฒนาประเทศขาดความต่อเนื่อง โดยเฉพาะการพัฒนาที่ต้องใช้เวลาเช่นการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน การเกษตรและการศึกษา เป็นต้น ด้วยจุดอ่อนดังกล่าว สปช. สปท. และรัฐบาลจึงได้เริ่มวางแนวทางยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปีตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2558 โดยรับฟังความคิดเห็นจากทุกภาคส่วนและจัดทำ พ.ร.บ.ยุทธศาสตร์ชาติผ่านวาระ 3 ของ สนช.เมื่อวันที่ 22 มิถุนายนที่ผ่านมา ถือเป็นการวางรากฐานให้กับอนาคตของประเทศที่สำคัญครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์นอกจากนี้ประเทศต่างๆ ก็มียุทธศาสตร์ชาติ 1 ปี ถึง 30 ปี เช่น มาเลเซียมียุทธศาสตร์ 30 ปีวางเป้าเป็นประเทศพัฒนาแล้วเริ่มตั้งแต่ปี พ.ศ. 2533 ผ่านมา 27 ปีส่งผลให้รายได้ต่อหัวของประชากรสูงกว่าไทยเกินเท่าตัวและจะบรรลุเป้าหมายเป็นประเทศรายได้สูงในอีก 3 ปีข้างหน้าขณะที่ประเทศไทยยังติดกับประเทศรายได้ปานกลางมา 20 ปีจึงอยากให้พรรคการเมืองบ้านเราดูตัวอย่างจากมาเลเซียว่าทำไมเข้าทำได้และมียุทธศาสตร์ชาติตั้งแต่ 27 ปีที่แล้ว
“ส่วนข้อกังวลเรื่องการมีส่วนร่วมของประชาชนนั้นกฎหมายยุทธศาสตร์ชาติบัญญัติให้ต้องรับฟังความคิดเห็นของทุกภาคส่วนอย่างกว้างขวางในการจัดทำยุทธศาสตร์ชาติอยู่แล้ว” นายอลงกรณ์กล่าว
นายอลงกรณ์ยังกล่าวถึงประเด็นที่กังวลว่ายุทธศาสตร์ชาติจะมัดมือรัฐบาลจนบริหารหรือกำหนดนโยบายไม่ได้นั้น เป็นความเข้าใจผิดเพราะยุทธศาสตร์ชาติจะกำหนดเป้าหมายและทิศทางการพัฒนาประเทศระยะยาว ตัวอย่างที่เคยกำหนดในร่างกรอบยุทธศาสตร์ช่วงจัดทำเมื่ปีที่แล้วเช่นกำหนดเป้าหมายให้ประเทศไทยเป็นประเทศพัฒนาแล้วภายใน 20 ปีมีรายได้ต่อหัวของประชากร 450,000 บาทต่อปี หรือเพิ่มขึ้น 3 เท่าจากปัจจุบันจึงต้องปฏิรูปยกเครื่องทุกมิติหรือต้องมีพื้นที่ป่าไม้ไม่น้อยกว่า 40% ของพื้นที่ประเทศและให้มีพื้นที่ชลประทานไม่น้อยกว่า 75% ของพื้นที่เกษตร 150 ล้านไร่จากปัจจุบันมีเพียง 30% เป็นต้น รัฐบาลแต่ละชุดมีอิสระที่จะกำหนดนโยบายโครงการและจัดสรรงบประมาณเป็นเครื่องมือในการบริหารประเทศให้บรรลุเป้าหมายภายใน 20 ปีหรือเร็วกว่านั้น ยุทธศาสตร์จึงไม่ใช่การมัดมือมัดเท้ารัฐบาลจนทำอะไรไม่ได้อย่างที่กังวลตรงข้ามจะทำให้ประเทศเดินหน้าอย่างมีทิศทางเหมือนรถวิ่งบนทางหลวงมีจุดหมายปลายทางแน่นอนไม่สะเปะสะปะหรือเลี้ยวลงซอยซ้ายที่ขวาทีไปไม่ถึงจุดหมายสักที หรือขาดความต่อเนื่องวิ่งไปหยุดไปเวลาเปลี่ยนคนขับคือเปลี่ยนรัฐบาลนับเป็นจุดอ่อนของการพัฒนาประเทศในอดีต ถ้าจะให้ประเทศแข่งขันได้ต้องมียุทธศาสตร์ชาติที่มีกฎหมายรองรับ
อีกประเด็นที่ติติงว่าโลกเปลี่ยนเร็วจะกำหนดยุทธศาสตร์ล่วงหน้า 20 ปีได้อย่างไร นายอลงกรณ์กล่าวต่อว่า ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปีถูกออกแบบให้มีความยืดหยุ่นทบทวนทุก 5 ปี และกรณีสถานการณ์เปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญก็สามารถปรับเปลี่ยนยุทธศาสตร์ได้ทันทีโดยรัฐบาลเสนอให้รัฐสภาให้ความเห็นชอบ ซึ่งในการจัดทำยุทธศาสตร์ชาติจะต้องวิเคราะห์และคาดการณ์การเปลี่ยนแปลงของโลกในทุกด้านในระยะ 5 ปี 10 ปี ถึง 20 ปี เช่น เทคโนโลยี ภาวะโลกร้อน สังคมสูงวัย พลังงาน การเมือง การค้าการลงทุน กติการะหว่างประเทศ ภัยก่อการร้าย เป็นต้นแล้วสร้างแบบจำลองสถานการณ์จากนั้นจึงกำหนดเป้าหมายและแนวทางของยุทธศาสตร์ชาติซึ่งเมื่อ พ.ร.บ.ยุทธศาสตร์ประกาศใช้ภายในไม่เกินต้นเดือนสิงหาคมกระบวนการจัดทำยุทธศาสตร์ชาติฉบับแรกของประเทศก็จะเริ่มต้นด้วยความร่วมแรงร่วมใจของทุกภาคส่วน