เมืองไทย 360 องศา
หากสังเกตให้ดีในช่วงระยะหลังมานี้ จะเห็นว่า มีการเคลื่อนไหวของรัฐบาลที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะได้เห็นความเปลี่ยนแปลงของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่เริ่มล้วงลูก และสั่งการเองในหลายเรื่องที่เกี่ยวข้องกับ “ความรู้สึก” ของประชาชนมากขึ้น แม้ว่าบางเรื่องอาจดูแล้วเป็นรายละเอียดเกินไป แต่เมื่อส่งผลต่อความรู้สึกศรัทธาของประชาชน ก็ต้องลงสั่งการ กวดขันด้วยตัวเอง
ขณะเดียวกัน จะเห็นว่า “งานด้านความมั่นคง” ที่ก่อนหน้านี้ที่ถือว่าเป็น “เรือธง” เป็น “จุดแข็ง” ของรัฐบาลและคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ก็ว่าได้ แต่มาวันนี้ทุกอย่างเริ่มเป็นตรงกันข้าม ทำท่ากลายเป็นจุดอ่อน และถูกท้าทายมากขึ้นทุกที จนเหมือนกับว่า “พี่ใหญ่” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ที่ได้รับมอบอำนาจเต็มให้ดูแลด้านความมั่นคงรวมไปถึงงานด้านเศรษฐกิจ และเรื่องพลังงาน เรียกว่า ทุกเรื่องที่สำคัญในบ้านเมืองนี้ อยู่ในมือของเขา แต่ในวันนี้กลับถูกลดบทบาท หรือ “ต้องลดบทบาท” ลงมาอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งบังเอิญว่าเป็นช่วงที่เขาเติ่มมีปัญหาสุขภาพที่รุมเร้าเข้ามา
จนล่าสุด พล.อ.ประวิตร ได้ประกาศ “จบอนาคตทางการเมือง” เอาไว้แค่สิ้นสุดรัฐบาลนี้ รวมไปถึงยืนยันจะไม่ตั้งพรรคการเมืองเพื่อรองรับการเลือกตั้งคราวหน้าอีกด้วย โดยอ้างเหตุผลเรื่อง “อายุมาก” แล้ว
หากโฟกัสกันที่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ จะพบว่าในระยะหลังต้องยอมรับว่าผลงาน “ดร็อป” ลงไปมาก รวมไปถึงเกิดเรื่องอื้อฉาว มีเรื่องให้นินทากันหลายเรื่องและต่อเนื่อง ส่วนสำคัญอาจเป็นเพราะเขามีสถานะเปรียบเหมือน “พี่ใหญ่” ก็ย่อมต้องมีน้องๆ ให้ดูแล มีเครือข่ายมากมาย และแน่นอนว่า ในจำนวนนั้น ก็ย่อมต้องมีพวกที่แฝงตัวเข้ามาหาประโยชน์ก็มี
ประกอบกับด้วยบุคลิก “รุ่นใหญ่แบบโบราณ” ที่ต้องปกป้องดูแลน้องๆ เด็กๆ แต่ด้วยยุคสมัยและสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป ด้วยเทคโนโลยีการสื่อสารแบบสื่อออนไลน์ ที่มีทั้งภาพเคลื่อนไหวและเสียงฉับไว ทำให้ในทางกลับกันทำให้ “พี่ใหญ่” คนนี้ต้องตกเป็นเป้าไปโดยปริยาย อีกทั้งด้วยปัญหาสุขภาพที่รุมเร้าดังกล่าว ทุกอย่างจึงทำให้ถูกมองว่าเข้าสู่ภาวะ “ขาลง” ได้เร็วขึ้น
ด้วยภาวะดังกล่าวหรือเปล่าที่ทำให้ล่าสุด พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ต้องลงมากำกับดูแล และสั่งการเองในหลายๆ เรื่อง เช่น การสั่งตรวจสอบข้อกล่าวหาเรื่องการซื้อขายเก้าอี้ในการโยกย้ายตำรวจ ที่เขาสำทับว่าต้อง “จับให้มั่นคั้นให้ตาย” การสั่งให้ตำรวจยุติการนำผู้ต้องหามาแถลงข่าว และให้นักข่าวสัมภาษณ์ผู้ต้องหา หลังเกิดภาพที่สังคมตั้งคำถาม และวิพากษ์วิจารณ์ตำรวจ และมีผลลบต่อรัฐบาลและตัวนายกรัฐมนตรี จากกรณีการจับกุมผู้ต้องหาฆ่าหั่นศพ และกรณีจับกุมผู้ต้องหาคดีลอบวางระเบิดที่โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า จนนำมาซึ่งคำสั่งของ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ที่ให้ตำรวจดำเนินการตามคำสั่งอย่างเคร่งครัด
ขณะเดียวกัน ในช่วงหลัง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เริ่มออกโรงเอง โดยเฉพาะการจับมือผลักดันงานด้านเศรษฐกิจอย่างเต็มกำลัง โดยเร่งรัดให้ สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ด้านเศรษฐกิจ เร่งรัดลุยงานด้านการลงทุน ด้วยการเดินสายโรดโชว์ต่างประเทศ การกระตุ้นเร่งรัดลงทุนใครงการระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (อีอีซี) ที่กำลังบูมเกินคาด การเร่งรัดการลงทุนโครงการขนาดใหญ่ ที่เป็นโครงสร้างพื้นฐาน และที่สำคัญเร่งกระตุ้นการลงทุนจากภาคเอกชน ที่ถือว่ายังล่าช้ากว่าที่ควรจะเป็น มีการตีปี๊บการส่งออกที่เป็นตัวเลข 2 หลัก ในเดือนพฤษภาคม ที่ระบุตัวเลขว่า ขยายตัวสูงสุดในรอบ 52 เดือน มันก็ทำให้อิ่มเอิบหัวใจได้บ้าง
ที่น่าจับตาก็คือ กำหนดการลงพื้นที่ในต่างจังหวัดในทุกภาค ทั้งเหนือใต้ อีสาน ออก ตก ในลักษณะเป็นการประชุมคณะรัฐมนตรีสัญจร ที่เริ่มสั่งการให้มีการกำหนดรายละเอียด มีการติดตามความคืบหน้าตามนโยบายรัฐบาล ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น ถือว่าเป็นการกลับมารุกอีกรอบของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หลังจากก่อนหน้านี้ดู “เนือยๆ” ไปพักใหญ่ เริ่มกลับมาให้สัมภาษณ์ อธิบายเรื่องสำคัญหลายเรื่อง ส่วนจะเป็นเรื้อง “ช่วงชิงมวลชน” เพื่อสู้กับฝ่ายการเมืองที่เริ่มขยับกันอีกรอบหรือไม่มันก็อาจมองแบบนั้นได้เหมือนกัน
โดยเฉพาะเมื่ออยู่ในช่วงโค้งสุดท้ายที่มีเดิมพันสูงกันทุกฝ่าย ยิ่งในช่วงเข้าด้ายเข้าเข็ม ที่คดีรับจำนำข้าวใกล้ถึงวันพิพากษา มัยก็ยิ่งต้องกระตุ้นกันทุกฝ่าย เพราะงานนี้ใครดี ใครอยู่ !!