ปลัดมหาดไทย เฟ้น 7 แผนพัฒนา-แก้ไขปัญหาจังหวัด สั่ง 76 ผู้ว่าฯ หาทางปลุกชีพจุดเด่น-จุดด้อยของจังหวัดตัวเอง เน้นขยายผล-ต่อยอด ประสาน “บอร์ดจังหวัด” ใช้รูปแบบ “สำนักบริหารนโยบายนายกรัฐมนตรี” ถกเดือนละครั้ง ถอดบทเรียนปัญหาลักษณะใกล้เคียงจากพื้นที่อื่น เน้นเฝ้าระวังเป็นพิเศษ แนะบูรณาการงบประมาณ ย้ำทุกจังหวัดต้องไม่มีสภาพรวยกระจุกจนกระจาย
วันนี้ (19 มิ.ย.) มีรายงานจากกระทรวงหมาดไทยว่า นายกฤษฎา บุญราช ปลัดกระทรวงมหาดไทย ได้สั่งการไปยังผู้ว่าราชการจังหวัดทั่วประเทศเพื่อเร่งดำเนินการเพื่อบูรณาการพัฒนาและแก้ไขปัญหาพื้นที่ ภายหลังรัฐบาลและกระทรวงมหาดไทยมีนโยบายให้ผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นผู้รับผิดชอบหลักในการบริหารงานแบบบูรณาการส่วนราชการ ภาคเอกชน และประชาชนในพื้นที่ เพื่อร่วมกันพัฒนาหรือแก้ไขปัญหาจังหวัด (area-based) โดยการบริหารงานดังกล่าวจะต้องสอดคล้องกับนโยบายรัฐบาลและยุทธศาสตร์ชาติ ตลอดจนสามารถพัฒนาและแก้ไขปัญหาของพื้นที่ได้ตามความต้องการของประชาชน
โดยขณะนี้ส่วนราชการด้านการวางแผนพัฒนาและกระทรวงมหาดไทยอยู่ระหว่างการเสนอรัฐบาลให้พิจารณาปรับปรุงระเบียบและกฎหมายหลายฉบับที่เกี่ยวข้องกับการจัดทำแผนพัฒนาพื้นที่ให้เป็นฉบับเดียวกันซึ่งมีโครงสร้าง กลไก อำนาจหน้าที่สอดคล้องเชื่อมโยงแผนพัฒนาพื้นที่ทุกระดับ
ทั้งนี้ ให้ส่วนราชการในพื้นที่และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นรวมทั้งให้มีผู้แทนภาคประชาชนในรูปคณะกรรมการร่วมกันจัดทำแผนพัฒนาตำบล แผนพัฒนาอำเภอ แผนพัฒนาจังหวัด และแผนพัฒนากลุ่มจังหวัดเป็นแผนเดียวกัน (one plan)ให้มีการแบ่งพื้นที่เพื่อการพัฒนาประเทศออกเป็น 6 ภาค แผนพัฒนาทุกระดับจะประกอบด้วยปัญหาและความต้องการในการพัฒนาและแก้ไขปัญหาของพื้นที่ที่ได้รับการจัดลำดับความสำคัญและความต้องการไว้แล้ว (priority) เพื่อให้จังหวัดและส่วนราชการภูมิภาครวมทั้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นใช้เป็นแนวทางในการจัดทำงบประมาณจังหวัด กลุ่มจังหวัด และงบประมาณองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (area-based) และใช้แผนพัฒนาภาคเป็นเครื่องมือในการกำหนดเป้าหมายและความต้องการด้านพัฒนาพื้นที่ของภาคที่ต้องมีความเชื่อมโยงกันในระดับภูมิภาค และ/หรือระหว่างประเทศเพื่อให้ส่วนราชการระดับกรม และกระทรวง (function) นำไปจัดทำเป็นแผนงานขอรับงบประมาณให้สอดคล้องกับเป้าหมายตามยุทธศาสตร์ในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
สั่ง ผู้ว่าฯ หาทางปลุกชีพ “จุดเด่น-จุดด้อย” ของจังหวัดตัวเอง เน้นขยายผล และต่อยอด
ข้อสั่งการระบุว่า สำหรับการบริหารงานตามรูปแบบข้างต้นนั้น ผู้ว่าราชการจังหวัด นายอำเภอ รวมทั้งผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จะเป็นผู้มีบทบาทสำคัญต่อความสมบูรณ์ของการจัดทำแผนพัฒนาและการแก้ไขปัญหาในพื้นที่ กระทรวงมหาดไทยได้สั่งการให้ทุกจังหวัดดำเนินการตามแนวทางการดำเนินงาน ดังนี้
1. ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดในฐานะผู้นำในพื้นที่ น้อมนำหลักการทรงงานและยุทธศาสตร์พระราชทานในเรื่องเข้าใจ เข้าถึง พัฒนา ของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มาเป็นหลักคิด และใช้ในการบริหารงานแบบบูรณาการ เพื่อค้นหา สร้างความเข้าใจ และมีมุมมองต่อสภาพปัญหาภายในจังหวัดหรือบริหารงานแบบองค์รวมไม่แยกส่วน (holistic approach) ด้วยการคิดและดำเนินการอย่างเป็นระบบ รอบด้าน คำนึงถึงองค์ประกอบที่ซับซ้อน และปัจจัยภายใน-ภายนอกทุกมิติ ทั้งในด้านภูมิศาสตร์ ภูมิสังคม จุดเด่น/จุดด้อยของจังหวัด (strong and weak points) เพื่อนำมาพัฒนาให้จุดเด่นเข้มแข็ง หรือแก้ไขปัญหาจุดด้อยอย่างเชื่อมโยงสัมพันธ์กัน โดยต้องเปิดโอกาสให้ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคมเข้ามามีบทบาทในการพัฒนาและแก้ไขปัญหาของพื้นที่ด้วย (participation) โดยไม่ทอดทิ้งใครไว้ข้างหลัง (inclusiveness) ซึ่งมีข้อพิจารณา ประกอบด้วย
- พื้นที่ที่มีจุดเด่นด้านภูมิประเทศที่มีสภาพเหมาะแก่การพัฒนาเป็นเส้นทางหรือสถานีขนส่งทางน้ำ ทางทะเลหรือทางอากาศหรือมีแหล่งท่องเที่ยวตามธรรมชาติ หรือสภาพอากาศดี อาทิ พื้นที่ริมทะเลหาดทราย พื้นที่เลียบแม่น้ำโขงที่มีเกาะแก่งสวยงาม อาจพิจารณาเสนอข้อมูลพื้นที่ดังกล่าวให้หน่วยงานส่วนกลางเข้ามาใช้พื้นที่ให้เกิดประโยชน์ต่อการพัฒนาจังหวัดหรือภูมิภาคระหว่างประเทศหรืออาจพิจารณาใช้งบประมาณจังหวัดหรือองค์กรปกครองท้องถิ่น สร้างสิ่งอำนวยความสะดวก (facilities & infrastructure) เพื่อให้นักท่องเที่ยวประทับใจ ใช้เวลาอยู่ในพื้นที่ให้นานขึ้น เช่น จุดชมวิวแบบ Skywalk ซึ่งจะช่วยเพิ่มรายได้ของประชาชนในพื้นที่มากขึ้น
- พื้นที่ที่มีจุดเด่นด้านการผลิตสินค้าพื้นเมืองหรือผลิตภัณฑ์ OTOP หรือเป็นแหล่งผลิตอาหาร/ผลไม้ที่มีชื่อเสียง ให้ร่วมกันหาแนวทางต่อยอดนำสินค้านั้นออกสู่ตลาดวงกว้างขึ้น (เช่น มี terminal or caravan) ทำให้สินค้าหรืออาหารเหล่านั้นติดตลาด หรือการนำผู้ซื้อเข้ามาหาผู้ผลิต/ผู้ขาย สร้างให้เป็นจุดที่ต้องเยี่ยมชมซื้อหาของก่อนเดินทางออกจากพื้นที่ เช่น "ตลาดต้องชิม" เป็นต้น
- สำหรับพื้นที่บางแห่งที่ยังไม่เห็นจุดเด่นชัดเจน ให้พยายามเสริมสร้างเรื่องราวหรือตำนานหรือจุดดึงดูด (story/ legend/attraction) ของพื้นที่ ให้นักท่องเที่ยวรู้จักและอยากมาเยี่ยมเยียน หรือนำพื้นที่ที่มีจุดเด่นมาต่อยอดเชื่อมโยงกับพื้นที่ที่ยังไม่มีจุดเด่น โดยให้เน้นสร้าง "ดาวเด่น" ของสินค้า หรือจุดเด่นในพื้นที่ให้เชื่อมโยงหลายพื้นที่เป็นเครือข่ายภายในจังหวัด กลุ่มจังหวัด หรือระดับภูมิภาค รวมทั้งสร้างกระแสประชาสัมพันธ์และดึงดูดผู้บริโภค (CCC - consumers, customers & clients) มาสู่จังหวัด
- ในการจัดงานเทศกาล งานรื่นเริงหรือมหกรรมต่างๆ (carnival or festival) เพื่อให้เกิดการดึงดูดนักท่องเที่ยวในช่วงที่มีการเก็บเกี่ยวพืชผลการเกษตรหรือช่วงมีผลไม้ตามฤดูกาล โดยอาจจัดให้มีการประกวดนวัตกรรมแปรรูป หรือการจัดงานตามเทศกาลและประเพณี แล้วสอดแทรกสินค้าเด่น อาหารดัง ของที่ระลึกที่เป็นเอกลักษณ์ของจังหวัด ที่จะช่วยเพิ่มมูลค่าในการจำหน่ายแก่นักท่องเที่ยว ฯลฯ
ประสาน “บอร์ดจังหวัด” ใช้รูปแบบ “สำนักบริหารนโยบายนายกรัฐมนตรี” ถกเดือนละครั้ง
2. ให้จังหวัดพิจารณาใช้คณะกรรมการบริหารจังหวัดแบบบูรณาการ (กบจ.) หรือคณะกรรมการประสานและขับเคลื่อนนโยบายสานพลังประชารัฐประจำจังหวัด (คสป.) คณะใดคณะหนึ่ง ซึ่งมีองค์ประกอบจากภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชนในพื้นที่ ให้ทำหน้าที่เป็นคณะกรรมการขับเคลื่อนการพัฒนาตามยุทธศาสตร์จังหวัดแบบบูรณาการ (IPSDC - Integrated Provincial Strategy Delivery Committee) ในทำนองเดียวกับสำนักบริหารนโยบายของนายกรัฐมนตรี (Prime Minister's Delivery Unit) หรือ PMDU โดยกำหนดให้ประชุมอย่างน้อยเดือนละ 1 ครั้ง เพื่อทำหน้าที่คิดค้นและร่วมกันค้นหาวิธีการ "ขับเคลื่อน" (delivery) การบริหารงานต่างๆ ตามข้อ 1. ให้เกิดผลสำเร็จเป็นรูปธรรมในทางปฏิบัติ
3. ให้จังหวัดที่รัฐบาลกำหนดพื้นที่รองรับนโยบายพิเศษหรือมีจุดหมายสำคัญอยู่แล้ว (magnet destination) เช่น กลุ่มจังหวัดระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) จังหวัดเขตเศรษฐกิจพิเศษ จังหวัดที่มีแหล่งมรดกโลก จังหวัดเมืองท่องเที่ยวห้ามพลาด จังหวัดที่เป็นที่ตั้งของศูนย์ศึกษาการพัฒนาตามพระราชดำริพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เป็นต้น โดยผู้ว่าราชการจังหวัดต้องนำจุดเด่นหรือจุดแข็งของจังหวัดมาขยายผลหรือต่อยอดเชื่อมโยงเครือข่ายเพื่อให้เกิดการสร้างงาน สร้างอาชีพ และรายได้ให้กับประชาชน ขณะเดียวกันต้องประสานงานเชิงรุก โดยพิจารณาจับคู่กับกระทรวง กรม องค์การระหว่างประเทศ สถานทูตประเทศต่างๆ ในประเทศไทย ตลอดจนภาคธุรกิจ ฯลฯ เพื่อส่งเสริมจุดขาย เชื่อมโยงเทคโนโลยี และการดึงดูดความสนใจ ตลอดจนติดต่อประสานงานเชิญผู้เชี่ยวชาญในการออกแบบแนวคิด (design idea) หรือประกวดแนวคิดสร้างสรรค์ต่อยอดสินค้าและบริการของจังหวัดที่จะสร้างความสนใจให้แก่ชาวต่างประเทศไว้ด้วย
สั่งถอดบทเรียน-ปัญหาลักษณะใกล้เคียงจากพื้นที่อื่น เน้นเฝ้าระวังเป็นพิเศษ
4. สำหรับจังหวัดที่มีปัญหาเฉพาะในบางด้าน เช่น ปัญหาสาธารณภัยตามฤดูกาล ปัญหาชุมชนแออัด ปัญหาสิ่งแวดล้อม ปัญหาบุกรุกที่สาธารณะประเภทต่างๆ ยาเสพติด การหลบหนีเข้าเมือง ฯลฯ ให้คณะกรรมการ IPSDC ดำเนินการจัดทำแผนการแก้ไขปัญหาไว้โดยเฉพาะ โดยแผนงานการแก้ไขปัญหา ต้องคำนึงถึงการวางพื้นฐานเพื่อแก้ปัญหาระยะยาวของจังหวัดโดยบรรจุไว้ในแผนพัฒนาพื้นที่เป็นกรณีพิเศษ และต้องมีรายละเอียดการถอดบทเรียนจากปัญหาลักษณะใกล้เคียงกันในพื้นที่ หรือนำกรณีศึกษา (case study) จากแหล่งอื่นๆ มาประยุกต์ใช้ โดยพิจารณาจากต้นเหตุปัญหา ซึ่งในแผนดังกล่าวต้องกำหนดวิธีการป้องกันแก้ไขปัญหาตามขั้นตอนการบริหารสถานการณ์วิกฤติ (crisis management) ทั้งนี้ ให้มีการประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้ และมีการซักซ้อม เพื่อหากเกิดเหตุการณ์จะไม่เกิดความตื่นตระหนก และในบางกรณีที่จำเป็น อาจพิจารณาโดยมีข้อตกลงหรือเงื่อนไขแลกเปลี่ยนชดเชย (trade off/compensation) ตามระเบียบของราชการ พร้อมทั้งกำหนดพื้นที่หรือจุดที่หรือกลุ่มที่มีความเปราะบาง (vulnerable) ที่ต้องดูแลเฝ้าระวังเป็นพิเศษไว้ด้วย
5. ในพื้นที่ที่ประชาชนมีความแตกต่างกันในด้านเชื้อชาติ ศาสนา วัฒนธรรมท้องถิ่น แล้วมีกลุ่มคนพยายามนำความแตกต่างนั้นมาสร้างเงื่อนไขให้เกิดความขัดแย้ง จะต้องดำเนินการทุกวิถีทางตามกฎหมายให้เกิดความร่วมมือจากประชาชนกับภาครัฐในการร่วมกันแก้ไขปัญหา และเชิญชวนภาคประชาสังคมร่วมสร้างการรับรู้หรือความเข้าใจที่ดีต่อกันผ่านสื่อศิลปะการแสดง การละเล่น ดนตรี กีฬา ที่ผสมผสานอัตลักษณ์พื้นถิ่นในบริบท “พหุวัฒนธรรม” เชื่อมโยงกับเอกลักษณ์ที่สำคัญของชาติเพื่อสร้างการยอมรับและการอยู่ร่วมกันอย่างสันติ โดยเน้นหนักในการสร้างการรับรู้ที่ถูกต้องของประชาชนในพื้นที่และเฝ้าระวัง ตรวจสอบป้องกันและระมัดระวังการปล่อยข่าวลือหรือข้อมูลที่ไม่ถูกต้องต่างๆ ด้วย
สั่งบูรณาการงบประมาณ ต้องไม่มีสภาพ “รวยกระจุก จนกระจาย”
6. ให้จังหวัดพิจารณาใช้งบประมาณจังหวัด กลุ่มจังหวัด และงบประมาณภาคทั้ง 6 ภาค งบอุดหนุนขององค์กรปกครองท้องถิ่น งบประมาณช่วยเหลือสังคม (CSR) ของภาคเอกชน และแหล่งสนับสนุนอื่นๆ ให้ครอบคลุมแผนพัฒนาพื้นที่ตามยุทธศาสตร์ของจังหวัด เพื่อให้เกิดโอกาส (opportunity) ความเจริญเติบโต (growth) และความสุขมวลรวม (gross happiness) ที่สามารถวัดค่าดัชนีทางสถิติได้ ทั้งนี้ จังหวัดต้องคำนึงไว้เสมอว่าการใช้จ่ายงบประมาณตามแผนพัฒนาดังกล่าวต้องไม่ทำให้เกิดสภาพ “รวยกระจุก จนกระจาย” และประการสำคัญต้องใช้จ่ายงบประมาณดังกล่าวให้ถูกต้องตามระเบียบ กฎหมาย ด้วยความโปร่งใส ไม่เกิดการทุจริต หรือนำโครงการพัฒนาต่างๆ ของพื้นที่ไปแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบอย่างเด็ดขาด
7. เพื่อสร้างสภาวะการทำงานในเชิงบูรณาการร่วมกันทุกภาคส่วนทั้งรัฐ เอกชน และประชาชน ตามแนวทางที่กล่าวมาแล้วข้างต้น ให้คณะกรรมการ IPSDC อาจแต่งตั้งคณะทำงานย่อย (working group) เพื่อให้มีเจ้าภาพหรือผู้รับผิดชอบในการแก้ไขปัญหาหรือพัฒนาตามยุทธศาสตร์จังหวัดแต่ละด้าน
“การบริหารงานแบบบูรณาการเป็นบทบาทหน้าที่ที่สำคัญของผู้ว่าราชการจังหวัดและนายอำเภอในการขับเคลื่อนการพัฒนาและแก้ไขปัญหาในพื้นที่ร่วมกับทุกภาคส่วน และต้องสนองตอบความต้องการของประชาชนอย่างแท้จริง ทั้งนี้ หากจังหวัดมีตัวอย่างความสำเร็จ (Best Practice) หรือข้อเสนอแนะ/ปัญหาอุปสรรคใด ๆ ให้รายงานมายังกระทรวงมหาดไทยเพื่อเป็นแนวทางในการพัฒนาให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด เพื่อให้เกิดความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน ต่อไป” ข้อสั่งการปลัดกระทรวงมหาดไทย ระบุ