ผู้บัญชาการทหารบก ย้ำ ที่ประชุมหน่วยขึ้นตรงกองทัพบกตรวจสอบคลังอาวุธ ยันเหตุที่ตราดไม่โยงบึ้ม กทม. เผย ผู้ต้องหารับส่งให้ชนกลุ่มน้อยทางตะวันตก เป็นขบวนการลักลอบข้ามฟาก ไม่ได้มาจากคลัง ระบุ คุมตัว 19 คน ต้องสงสัยส่งระเบิดพัสดุ พบ สิบเอกคลังอาวุธตัวการขายออนไลน์ ขอใช้โอกาสกวาดล้างผู้เกี่ยวข้อง ไม่รู้ตำรวจเข้าหน่วยทหารไม่ได้ เชื่อไม่กระทบสัมพันธ์เพื่อนบ้าน
วันนี้ (6 มิ.ย.) ที่กองบัญชาการกองทัพบก (บก.ทบ.) ถ.ราชดำเนิน เมื่อเวลา 15.30 น. พล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสาท ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ให้สัมภาษณ์ภายหลังการประชุมหน่วยขึ้นตรงกองทัพบก ว่า ตนได้เน้นย้ำในที่ประชุมเกี่ยวกับการดูแลตรวจสอบคลังอาวุธของหน่วยต่างๆ ส่วนกรณีการตรวจพบอาวุธสงครามในพื้นที่ กทม. และ จ.ตราด นั้น ยืนยันว่า ทั้งสองเหตุการณ์ไม่มีความเชื่อมโยงกัน ในส่วนของ จ.ตราด นั้น ทางผู้ต้องหาได้รับสารภาพ ว่า ดำเนินการส่งให้ชนกลุ่มน้อยในพื้นที่ด้านตะวันตก โดยรูปลักษณ์ของอาวุธ ตนเชื่อมั่นว่า เป็นไปในลักษณะนั้น ถือเป็นกระบวนการลักลอบค้าอาวุธสงครามจากด้านตะวันออกไปด้านตะวันตก ในส่วนกรณีการส่งวัตถุระเบิดผ่านบริษัทขนส่งพัสดุเอกชนที่พบที่ กทม. นั้น ฝ่ายความมั่นคงได้นำตัวผู้ที่เกี่ยวข้องมาควบคุมตัวไว้ 19 คน แบ่งเป็นทหาร 12 คน และพลเรือน 7 คน จากการสอบสวนเบื้องต้น พบว่า คือ ส.อ.ธนากรณ์ บุญกาญจน์ เจ้าหน้าที่คลังอาวุธของกองพันทหารช่างที่ 1 รักษาพระองค์ (ช.พัน 1 รอ.) เป็นผู้เกี่ยวข้องหลัก ที่ผ่านมา ส.อ.ธนากรณ์ ร่วมกับพวกเปิดแอปพลิเคชันไลน์ และเฟซบุ๊กซื้อขายแลกเปลี่ยนอาวุธปืน ทั้งแบบที่มีทะเบียนและไม่มีทะเบียน เมื่อเห็นว่า สามารถซื้อขายได้ จึงลักลอบนำวัตถุระเบิดส่วนหนึ่งพร้อมกระสุนมาขายอีก ปัจจุบันเจ้าหน้าที่ตำรวจได้สอบสวนรวบรวมหลักฐานเพื่อดำเนินคดีต่อไป
“ขบวนการค้าอาวุธสงครามมีมานานแล้ว ตั้งแต่สมัยที่มีเหตุการณ์บริเวณชายแดน บางคนมองว่าสามารถทำกำไรได้ง่าย และรู้ช่องทางในการซื้อขาย จึงใช้ความรู้ความสามารถของตนเองดำเนินการ ทั้งนี้ ยืนยันว่า ทั้งสองกรณีที่เกี่ยวข้องกัน อีกคนดำเนินการในหน่วยของตนเอง เนื่องจากรับผิดชอบดูแลคลังอาวุธ ซึ่งมีความรู้เรื่องนี้พอสมควรและทำงานอยู่มาเป็นเวลานาน แม้ว่าจะมีการตรวจสอบตามช่วงเวลาผ่านกรรมการของหน่วยและกรรมการส่วนกลางเขาก็หาช่องทางหลบเลี่ยงได้ ผมพยายามทุกวิถีทางที่จะคลี่คลายเรื่องนี้ พร้อมใช้โอกาสนี้กวาดล้างผู้ที่เกี่ยวข้องกับอาวุธสงครามทั้งหมด อย่างไรก็ตาม ได้เน้นย้ำทุกหน่วยไปดำเนินการกวาดล้างอาวุธสงครามในพื้นที่ทุกพื้นที่ที่สงสัย” ผบ.ทบ. กล่าว
พล.อ.เฉลิมชัย กล่าวยืนยันว่า ในกรณีเหตุการณ์ที่ จ.ตราด เป็นอาวุธที่มาจากต่างประเทศที่ต้องการที่จะส่งไปจากด้านตะวันออกไปด้านตะวันตก ไม่ได้มาจากคลังของทหาร เราเป็นเพียงทางผ่าน ซึ่งจะเห็นได้ว่าประเทศรอบด้านเรามีความขัดแย้ง โดยกลุ่มชนกลุ่มน้อยพยายามสร้างความเข้มแข็งให้กับตนเอง ไม่สามารถจัดหาอาวุธแบบถูกกฎหมายได้ จึงพยายามซื้ออาวุธที่มาถูกต้องจากพื้นที่ที่มีการค้าขาย ตนได้เข้มงวดมาโดยตลอด โดยเฉพาะอาวุธที่อยู่คลังที่ประจำการอยู่ภายในกองทัพบก เมื่อไม่สามารถนำในส่วนนี้ออกมาได้จึงต้องไปซื้อจากต่างประเทศนั้นเป็นเรื่องของคน ทั้งนี้กำลังพลของกองทัพบกมีจำนวนมากทั้งคนดีและไม่ดี เมื่อพบว่าคนใดไม่ดีก็ต้องดำเนินการ
เมื่อถามว่า ที่ผ่านมา ทางชนกลุ่มน้อยได้มีการเจรจากับรัฐบาลของประเทศตนเอง แต่ยังสะสมอาวุธอยู่นั้น เกิดจากสาเหตุใด พล.อ.เฉลิมชัย กล่าวว่า ชนกลุ่มน้อยทุกกลุ่มต้องการสร้างความมั่นใจให้กับตนเอง ในอนาคตทุกกลุ่มต้องแข็งแรง และซื้อจากที่ไหนก็แล้วแต่ แต่ละกลุ่มมีวิธีการของตนเอง ในส่วนของเราก็ต้องป้องกันคนของเราเองที่จะเข้าไปเกี่ยวข้องกับขบวนการเหล่านี้
เมื่อถามว่า อาวุธและระเบิดที่มีชื่อผู้รับอยู่ที่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา และ จ.ปัตตานี นั้น จะมีความเชื่อมโยงกับการสร้างสถานการณ์ความรุนแรงหรือไม่ พล.อ.เฉลิมชัย กล่าวว่า ส่วนใหญ่เป็นกระสุนและวัตถุระเบิดเป็นหลัก ซึ่งมีกลุ่มที่สะสมอาวุธเหล่านี้ และเมื่อมีการนำไปใช้เราก็ตรวจจับกลุ่มเป้าหมายทั้งหมดทั้ง 19 คน ที่มีรายชื่ออยู่ และยืนยันว่า เหตุการณ์ดังกล่าวไม่เกี่ยวข้องกับการก่อความวุ่นวายในช่วงเวลาที่ผ่านมา อาวุธที่ขายเป็นกระสุนที่ครบนัด ไม่เหมือนกับระเบิดแสวงเครื่องที่จัดทำขึ้นมาเองในเหตุการณ์ระเบิด 3 จุดใน กทม. เรื่องนี้ถือเป็นความทุจริตของบุคคล ขณะนี้อยู่ระหว่างการขยายผลว่ามีอะไรนอกเหนือจากนี้หรือไม่ก่อนจะดำเนินการตามกฎหมาย
ส่วนกรณีที่มีกระแสข่าวว่ามีการส่งอาวุธเข้าไปในหน่วยทหารจนตำรวจไม่สามารถตรวจสอบได้นั้น พล.อ.เฉลิมชัย กล่าวว่า เรื่องดังกล่าวตนไม่ทราบ แต่ตรงไหนที่มีหลักฐานก็จะต้องตามไปให้หมด บางส่วนไม่ได้มาจากที่ส่งไป แต่มีอยู่ก่อนหน้านั้นแล้ว ทั้งหมดยืนยันว่า ไม่ได้เกี่ยวข้องว่าเป็นทหารแล้วจะมาดูแลกัน หากคนไม่ดีตนก็พร้อมเอาออกจากกองทัพ ซึ่งเวลานี้ตำรวจกำลังสอบสวนและเราต้องทำคู่ขนานกันไป ในส่วนของ จ.ตราด ที่มีความเป็นห่วงว่าจะกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศกับประเทศเพื่อนบ้านนั้น คิดว่า คงไม่เป็นเช่นนั้น เพราะเป็นเรื่องของทหารนอกแถวของประเทศเพื่อนบ้านมาเจอกับทหารนอกแถวของเราร่วมกันดำเนินการ คงไม่มีปัญหาเรื่องความสัมพันธ์ ขอให้แยกเรื่องของบุคคลกับหน่วยงาน หรือองค์กร